มนัส สัตยารักษ์ : เกินกว่าเหตุ

เห็นภาพคลิปตำรวจกองปราบปรามมะรุมมะตุ้มจับตัวทนายสุกิจ พูนศรีเกษม ผมรู้สึกวิตกด้วยความเป็นห่วงทั้งสองฝ่าย

เป็นห่วงว่าทนายสุกิจผู้อวบอ้วนและสูงวัยจะบาดเจ็บหรือหายใจไม่ออกจนถึงแก่ความตาย กับวิตกว่าฝ่ายตำรวจอาจจะต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัยตำรวจ ฐานกระทำโดยรุนแรงเกินกว่าเหตุ

ในวูบที่เป็นห่วงกังวลถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมนึกถึงภาพที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ (อดีต อ.ตร. และวุฒิสมาชิก) ตัดสินใจปล่อยหมัดสันติเข้าใส่เพื่อนวุฒิสมาชิกที่เดินเข้ามาหาอย่างคุกคามนั้น พล.ต.อ.ประทินท่านคงเลือกแล้วว่า ท่านจะเป็นอดีต อ.ตร.ที่ถูก “ข่มหมู” อย่างไร้ศักดิ์ศรี

หรือจะเป็นอดีต อ.ตร.ที่ปล่อยหมัดอย่างสวยงามตามประสาอดีตนักมวยเหรียญทอง ซึ่งเป็นภาพที่ดูรุนแรงเกินกว่าเหตุและท่านต้องรับผิดชอบ

แล้วท่านก็ลาออกจากความเป็นวุฒิสมาชิกอันทรงเกียรติด้วยความรับผิดชอบในทันที เพื่อรักษาความเป็นอดีต อ.ตร.อันทรงเกียรติยิ่งกว่า

ผมเชื่อว่าตำรวจกองปราบปรามได้เลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้าทนายสุกิจออกอาการขัดขืนหรือต่อสู้เขาจะทำอย่างไร ดังนั้น ทันทีที่ทนายสุกิจยกมือปัดไม่ให้พวกเขาแตะต้องตัว เขาจึงมะรุมมะตุ้มกันเข้าจับตัว เมื่อทนายสุกิจดิ้นรนขัดขืน พวกเขาจึงตัดสินใจกดตัวให้คว่ำหน้าแล้วใช้กำลังกดเข่าลงกลางหลังเพื่อใส่กุญแจมือ ตามแบบฉบับของการจับกุมผู้ต่อสู้และขัดขืนการจับกุม

ภาพในคลิปจึงเป็นภาพที่ตำรวจกระทำการรุนแรงเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าเหตุ

ในช่วงชีวิตของข้าราชการตำรวจแต่ละคนย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องตัดสินใจเลือกหนทาง “เดินหน้าหรือถอยหลัง” ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีคล้ายกับ พล.ต.อ.ประทิน

เมื่อครั้งที่ยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ผมกับเพื่อน 3 หรือ 4 คนแวะไปทำกิจธุระส่วนตัวที่ สน.ลุมพินี ขณะไปถึงพบนายตำรวจรุ่นพี่พร้อมด้วยตำรวจจำนวนหนึ่งกำลังจะไปจับกุมการพนัน รุ่นพี่ได้ถือโอกาสเรียกพวกเราขึ้นรถยนต์ไปด้วยในฐานะเป็นกำลังเสริม

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีนักพนันนายหนึ่งวิ่งฝ่าแผงตำรวจมาทางที่ผมวิ่งสวนทางเข้าไป ผมหยุดและกางแขนกางกั้นด้วยสัญชาตญาณ แต่นักพนันนายนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหรือชะลอคามเร็ว

ในช่วงวินาทีนั้นผมต้องตัดสินใจเลือกว่าจะหลีกหรือหยุดเขา

ถ้าผมหลีก ผมก็คงจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจจนเป็นที่น่าอับอายขายหน้า แต่ถ้าผมหยุดเขาหรือผมก็ต้องเจ็บตัวจากแรงปะทะโดยไม่ได้ประโยชน์โพดผลอะไรเลย

ผมตัดสินใจหยุดเขาด้วยวิธีที่ไม่ได้มาจากการฝึกฝนหรือเป็นแท็กติกการต่อสู้อะไรเลย นั่นคือเตะขัดขาให้เขาล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นแล้วลุกไม่ขึ้น ให้ตำรวจที่วิ่งตามมาจับตัวไว้ได้

อันที่จริงอัตราโทษเล่นการพนันแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่นักเล่นพนันจะหนีสุดขีด เคยมีที่กระโดดตึกหรือกระโดดลงน้ำเสียชีวิต มันเป็นความผิดอาญาที่ทำให้รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรี น่าอายและหมดเครดิต ที่สำคัญคือกระทบฐานะทางสังคมอย่างมาก เช่น หมดสิทธิรับราชการ งานเอกชนหลายสาขา เช่น ธนาคารหรือบริษัทรักษาความปลอดภัยจะปฏิเสธ

ผมคิดว่าถ้าศีรษะเขาไปโดนหินหรือปูนซีเมนต์ เขาก็อาจจะบาดเจ็บล้มตายได้เหมือนกัน ส่วนตัวผมเองนั้นถึงไม่ถูกฟ้องร้องแต่กรรมก็ตามทัน เท้าแพลงเดินไม่ได้ไปหลายวัน

มีกรณีที่ผมเคยตัดสินใจยอมเสียศักดิ์ศรีแล้วเลือก “ถอยหลัง”

ครั้งหนึ่ง ผมถูกลงโทษให้ยืนคาบไม้บรรทัดฐานนั่งโงกง่วงในชั่วโมงวิชาการที่น่าเบื่อหน่ายวิชาหนึ่ง เหตุที่ผมยอมเสียศักดิ์ศรีของ ร.ต.ท. เพราะผมกำลังจะได้เลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.ตามกฎใหม่ (หลังจากเงินเดือนเต็มขั้นหยุดนิ่งไปกว่า 2 ปี)

แต่หลังจากได้เลื่อนยศแล้วผมก็รู้สึกเสียใจไม่หายจนบัดนี้ที่ตัดสินใจผิดและไม่ยอมรับคำขอโทษจากครู เรื่องเลวร้ายก็จะกลายเป็นเรื่องขำขัน ผมมาคิดได้ในภายหลังว่า ในความเป็นจริงศักดิ์ศรีมีค่ามากกว่ายศ

ในกรณีนี้ผมควร “เดินหน้า” อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมควรจะโค้งทำความเคารพครูแล้วเดินออกจากห้องเรียนไปเงียบๆ

สิ่งที่ผมได้จากการตัดสินใจผิดพลาดคราวนี้ก็คือคติสอนใจ

“ลาภยศทำให้มนุษย์เราตัดสินใจอย่างคนไร้ศักดิ์ศรี” (ฮา)

ทนายสุกิจจบปริญญาโทนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์จาก ม.กัลยาณิวัฒนา และปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตร์จาก ม.เกริก

รายชื่อลูกความและคู่กรณีตลอดจนพฤติกรรมดังทั้งในเรื่องของคดีความและตัวบุคคล ตลอดจนท่าทีและคำพูดของทนายสุกิจเอง ทำให้ทนายสุกิจกับสำนักงานกฎหมาย โด่งดังอย่างอื้อฉาว เขาเคยเป็นทนายแก้ต่างให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ในคดี พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2,500 ล้านบาท เป็นทนายแก้ต่างให้กับ นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต รมช.กระทรวงพาณิชย์ (รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ในคดีใช้รถยนต์ปาเจโร่เลี่ยงภาษีและป้ายทะเบียนปลอม

เขาเคยเป็นทนายฟ้องร้องอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายเรื่อง แต่ก็ยอมกราบขอขมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส คู่กรณีในคดีที่อดีต ผบ.ตร. ท่านนี้จับกุม “ปอ ประตูน้ำ”

เคยเป็นทนายฟ้องและแก้ต่างให้อดีต เสธ.แอ๊บ นายธัญเทพ ธรรมธร ในคดีรื้อตลาดโบ๊เบ๊และบาร์เบียร์ จนเป็นที่มาของฉายา “ทนายมาเฟีย”

ทนายสุกิจมีข่าวอื้อฉาวจากบทบาทเป็นที่ปรึกษาหรือร่วมทีมช่วยเหลือคนดังอย่าง “เณรคำ” ที่กำลังถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินและการฟอกเงิน คดีหวย 30 ล้าน ครูปรีชา ใคร่ครวญ และ “ฟ้า” น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว แต่ต่อมาทนายสุกิจถอนตัว

ส่วนคดีที่อื้อฉาวและเป็นมูลเหตุให้มีหมายจับและเกิดเหตุการณ์ล็อกคอจับกุม นั่นคือคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก กับคดีที่เป็นทนายให้ร่างทรงไฮเทค 4.0 น.ส.สุริยเทพ พระมหาสุริยา

แต่ที่ตำรวจกองปราบปรามตัดสินใจไว้ล่วงหน้านั้นน่าจะมาจากคำพูดคุกคามบ่อยๆ ของทนายสุกิจที่ว่า “เป็นนักมวยเก่า ถนัดเตะก้านคอ ถนัดเตะปาก”

ว่ากันอย่างเป็นธรรม เหตุที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้มาจาก “ความเกินกว่าเหตุ” ของทุกฝ่าย

หลังภาพข่าวการจับกุมแพร่กระจายออกไปตามสื่อทุกชนิด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ การเข้าจับกุมเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ขอชี้แจง

ผบ.ตร.ท่านต้องพูดตามบทของผู้นำ หรือต้องทำตามวิสัยของผู้นำ เพราะถ้าท่านพูดว่าตำรวจกองปราบปรามทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตำรวจทั่วประเทศอาจจะงอมืองอเท้า หยุดจับกุมผู้ต้องหาทันที