พลิกนาทีอดีตปลัด พม. ซดไวน์ผสมพิษ-ฆ่าตัว หึ่งเครียดถูกยึดทรัพย์ พัวพันคดีโกงเงินคนจน

กลายเป็นเรื่องช็อกวงการข้าราชการและสังคมทั่วไป

เมื่อมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับอดีตปลัดกระทรวง ตำแหน่งที่มีคนนับหน้าถือตาสูง

กลับตัดสินใจยุติชีวิตตัวเองโดยการฆ่าตัวตาย ด้วยวิธีกินยาพิษร่วมกับสาวคนสนิท

ตำรวจตั้งประเด็นไว้ว่าเกิดจากความเครียดที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตเงินผู้ยากไร้และไร้ที่พึ่งของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

จนถูกดำเนินคดี แล้วสั่งย้ายให้พ้นจากตำแหน่ง พร้อมคำสั่งยึดทรัพย์

เป็นที่มาของการปลิดชีวิตตัวเองร่วมกับสาวคนสนิทที่เป็นข้าราชการที่ถูกกล่าวหาด้วยเช่นกัน

ทิ้งไว้เป็นบทเรียนของข้าราชการรุ่นต่อไป ที่ต้องระลึกถึงหากตัดสินใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ถูกต้อง

ส่วนคดีก็ยังต้องดำเนินต่อไป เพื่อหาคนผิดมารับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดจากการคดโกง

ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป

ช็อกอดีตปลัด พม.ฆ่าตัว

เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 29 มิถุนายน พ.ต.ต.สัญชัย เมธีวิวัฒน์ สว.สอบสวน สภ.เมือง จ.ปทุมธานี รับแจ้งเหตุพบผู้เสียชีวิตกินยาฆ่าตัวตาย เหตุเกิดภายในหมู่บ้านดัง หมู่ 8 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี

เมื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ห้องนอนชั้น 2 พบผู้เสียชีวิตคือนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อายุ 59 ปี อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนผู้บาดเจ็บอีกคนคือ น.ส.วาสนา ตะเภาพงษ์ อายุ 49 ปี สาวคนสนิท ถูกนำส่งโรงพยาบาลปทุมธานี

โดยสภาพทั้ง 2 นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนทั้งคู่ ที่ข้างเตียงพบแก้วไวน์วางอยู่ 2 แก้ว คาดทั้งคู่ดื่มไวน์ผสมยาพิษหวังฆ่าตัวตาย

ขณะที่ พล.ต.ต.สมชาย พัชรโต รอง ผบช.ภาค 1 เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ น.ส.วาสนา ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน นายพุฒิพัฒน์บอกกับลูกน้องคนสนิทว่าจะไปปากช่อง จ.นครราชสีมา

ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน ลูกน้องพยายามโทรศัพท์หา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน ลูกน้องคนดังกล่าวจึงมาหาที่บ้าน แต่พบว่าประตูรีโมตคอนโทรลเปิดไม่ได้ จึงปีนประตูเข้าไปดูพบว่านายพุฒิพัฒน์เสียชีวิตแล้ว ส่วน น.ส.วาสนาหายใจรวยริน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือ

ทั้งนี้ จากการสอบสวนลูกน้องให้การว่า ช่วงนี้นายพุฒิพัฒน์มีอาการเครียดเรื่องถูกอายัดทรัพย์ และถูกสอบสวนในคดีทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากจนไร้ที่พึ่ง และถูกให้ออกจากตำแหน่งพร้อมกับข้าชการระดับสูงของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อีก 12 คน ส่วน น.ส.วาสนาก็เป็นหญิงสาวคนสนิท และเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตนี้ด้วย

จึงเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายเนื่องจากความเครียด พร้อมส่งศพไปพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ

ส่วน น.ส.วาสนา แพทย์ได้ล้างท้องจนอาการปลอดภัย แต่ยังต้องรักษาเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไป

ผลชันสูตรศพนายพุฒิพัฒน์ แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ระบุสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นว่า ระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว

สำหรับสารพิษในร่างกายที่นายพุฒิพัฒน์กินเข้าไป ต้องรอผลการตรวจจากห้องแล็บปฏิบัติการอีกประมาณ 45 วัน เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด

สรุปเป็นคดีฆ่าตัวตาย ญาติโต้ไม่ได้หนีความผิด

ส่วนสาเหตุในการตัดสินใจครั้งนี้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ ระบุว่า เชื่อว่าการตัดสินใจดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากคดีทุจริตเงินสงเคราะห์ จริงๆ แล้วกระทรวงไม่ได้บีบคั้นอะไรมาก แต่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายถูกกล่าวหาและฝ่ายพยาน

หลังจากการสอบวินัยร้ายแรงก็จบไปตามที่กฎหมายรับรอง แต่คดีอาญาก็ต้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ด้านนายพนาไพร นราแก้ว ที่ปรึกษากฎหมายนายพุฒิพัฒน์ และ น.ส.พัชรภรญ์ ตะเภาพงษ์ น้องสาว น.ส.วาสนา นายสมภพ นนทผล น้องเขยนายพุฒิพัฒน์ น.ส.ปริศนา ฤทธิ์เทพ และ น.ส.ฐาปนีย์ ศิริสมบูรณ์ ลูกน้องคนสนิทของผู้ตาย เปิดแถลงข่าวชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวกลางงานรดน้ำศพที่วัดพรหมวงศาราม

โดยนายพนาไพรกล่าวว่า ข่าวที่ออกมาบิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริงและสร้างความเสียหาย เนื่องจากระบุว่าทั้ง 2 คนเป็นสามีภรรยากัน ยืนยันว่าทั้งสองเพียงคบหากันอย่างเปิดเผย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือแต่งงาน เป็นการไปมาหาสู่กันหรือเรียกสถานะนี้ว่าแฟนก็ได้

ส่วนประเด็นที่สื่อระบุเป็นการฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้อกล่าวหาทุจริตไม่ว่าจะ ปปง. ป.ป.ช. หรือกระทั่ง พม. ยังไม่มีหน่วยงานใดชี้มูลความผิด

“สาเหตุของการฆ่าตัวตาย ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมาจากความน้อยใจเรื่องติดต่อบุคคลหนึ่งเพื่อชี้แจงขอคำปรึกษา แต่ไม่ใช่การติดต่อเพื่อหาช่องทางหนีคดี หลายครั้งไม่มีเสียงตอบรับเลย จนอาจทำให้เกิดความเครียดและกดดันที่ไม่สามารถติดต่อกับบุคคลดังกล่าว อาจเป็นประเด็นให้คิดสั้นได้”

ก่อนหน้าเสียชีวิต 3 วัน ตนพูดคุยกับนายพุฒิพัฒน์ในห้องส่วนตัวที่บ้าน นายพุฒิพัฒน์กล่าวเพียงสั้นๆ ไม่ได้ระบุพาดพิงถึงบุคคลใดว่า “ผมไม่ได้ร่วมมือกับเขา ผมสั่งให้หยุด แต่เขาไม่ฟังผม ผมพลาดที่ไว้ใจคนผิด”

น.ส.ปริศนา ฤทธิ์เทพ และ น.ส.ฐาปนีย์ ศิริสมบูรณ์ ลูกน้องคนสนิทนายพุฒิพัฒน์ยืนยันว่า นายของตนไม่เคยหนีความผิด ที่ผ่านมาเสียสละเป็นผู้ให้มาตลอด เขาไม่เคยทำผิด และเชื่อมั่นว่านายของตนไม่ได้ทุจริต

เป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป

เปิดปูมทุจริตเงินคนจน

สําหรับกรณีการทุจริตเงินผู้ยากไร้และไร้ที่พึ่งของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สืบเนื่องมาจากกรณีที่ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา อายุ 23 ปี หรือน้องแบม นิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ไปฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น เมื่อช่วงสิงหาคม-กันยายน 2560

ก่อนจะพบพิรุธเมื่อถูกสั่งให้ไปทำงานที่บ้านพักส่วนตัวของ ผอ.ศูนย์ โดยให้ทำเอกสารใบสอบประวัติผู้ประสบปัญหา และให้กรอกข้อมูลเอาเองตามสำเนาบัตรประชาชนที่แนบมา และมีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเรียบร้อย

นอกจากนี้ยังมีใบเสร็จรับเงินที่ไม่ระบุรายละเอียดใดๆ มีเพียงการลงชื่อผู้รับเงินไว้ลอยๆ เท่านั้น น.ส.ปณิดาเห็นความผิดปกติ จึงไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา แต่กลับได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนที่ฝึกงาน แถมให้ไปกราบขอโทษเจ้าหน้าที่ศูนย์

จนน้องแบมกับพวกต้องรวบรวมเอกสารไปยื่นต่อ คสช. เพื่อให้ขยายผลตรวจสอบ

ต่อมาเมื่อพฤษภาคม 2561 ป.ป.ท. สรุปผลตรวจสอบทุจริตเงินสงเคราะห์ จาก 76 ศูนย์ทั่วประเทศ พบส่อทุจริตถึง 67 จังหวัด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 264,204,000 บาท

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ออกคำสั่งนายกฯ ให้นายพุฒิพัฒน์ ปลัด พม. และนายณรงค์ คงคำ รองปลัด ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เพื่อเปิดทางสอบสวนกรณีทุจริตดังกล่าว

ต่อด้วยการย้ายข้าราชการ พม. อีก 22 คน ที่พบว่าพัวพันด้วย

จากนั้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีมติให้อายัดทรัพย์สินของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินคนจน ได้แก่ นายพุฒิพัฒน์ นายณรงค์ คงคา อดีตรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ อดีตผู้ตรวจราชการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และบุคคลอื่นๆ อีกรวม 12 ราย

เป็นที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ต่างๆ รวม 41 รายการ มูลค่า 88 ล้านบาท

จนเป็นเหตุให้เกิดความเครียดจนฆ่าตัวตาย

สุดท้ายแม้อดีตปลัด พม. จะจากไป คดีก็ยังต้องดำเนินต่อ