อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อาหารยามจาริก [บทเรียนที่ผมได้รับ]

My Chefs (39)

อาหารยามจาริก (10)

ไคลน์ปลุกผมแต่เช้าตรู่

แสงแรกของวันยังไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาชงกาแฟไว้ให้ผมในขณะที่ผมทำความสะอาดร่างกาย

และเมื่อผมลงนั่งที่โต๊ะอาหาร ผมก็พบว่ามีแซนด์วิชไส้ปลาทูน่าอัดแน่นอยู่ในขนมปังยาวเป็นอาหารเช้า พร้อมกับมีปิ้งไก่ที่ทาด้วยขมิ้น และนึ่งข้าวเหนียวไว้ด้วย

“เสบียงระหว่างทาง เราน่าจะกินอาหารเช้ากันข้างบนนั้น และถ้ากลับลงมาเร็วคงได้กินอาหารบ่ายที่นี่ กันหวังว่านายจะได้ชิมชาที่ทำกันที่นั่น หรือได้กินรังผึ้งสักรัง จะถือว่าไม่เสียเที่ยวสำหรับการผจญภัยครั้งนี้”

ชุดการเดินขึ้นเขาของเราทั้งคู่เป็นชุดที่เบาสบาย

นอกจากเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงผ้าร่มแล้ว เราพกเสื้อฝนไปคนละตัวเพื่อป้องกันน้ำค้างที่ตกมาเกาะอยู่ตามต้นหญ้าระหว่างทาง

หลังจากการเดินขึ้นเขาด้านหลังบ้านของไคลน์ไปสักครู่ ผมก็เห็นแปลงผักกะหล่ำปลีขนาดใหญ่

ผมกับไคลน์บุกเข้าไปในแปลง มีชายชาวม้งคนหนึ่งที่กำลังจัดการเดินเก็บหัวกะหล่ำอยู่

ไคลน์สนทนากับชายผู้นั้นอยู่ชั่วครู่ ภาษาลาวของไคลน์นั้นดีอย่างน่าทึ่ง ผมได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังออกมาเป็นระยะ

อากาศยามเช้าบนเนินเขาแห่งนั้นมากด้วยโอโซน สิ่งนี้ผมแน่ใจโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือใดๆ

ไคลน์พาผมเดินไปจนสุดทางของแปลง กะหล่ำปลีบริเวณนั้นมีลักษณะแปลกตา

เมื่อเรานั่งลงจึงพบว่ามันเป็นกะหล่ำปลีดอกเล็กที่เราเรียกว่า Brussel Sprout ดอกกะหล่ำขนาดเล็กเหล่านั้นขึ้นตามแกนต้น

ในยุโรป มันเป็นผักที่ได้รับความนิยมมากทั้งใช้ในซุปและเป็นผักเครื่องเคียงกับสเต๊กและอีกหลายเมนู การได้เห็นผักเมืองหนาวอันแปลกถิ่นขึ้นอยู่ที่นี่ทำให้ผมตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“ระวังหนามมันหน่อย กันจะเก็บมันเหมือนกันสำหรับสตูไก่ของเราในวันนี้” ไคลน์ดึงแกน Brussel Sprout ออกจากพื้นดิน แล้วค่อยๆ ปลิดกะหล่ำดอกเล็กเหล่านั้นออกจากแกนทีละลูก เขาเอามันใส่ลงในกระเป๋าเสื้อฝนจนเต็มก่อนที่จะส่งสัญญาณให้เราทั้งคู่เดินหน้าต่อ

แสงแดดแรงขึ้นตามลำดับ เราเดินมาจนถึงไร่ชาผืนใหญ่ที่มียอดชาสีเขียวอ่อน

ไคลน์หยุดทักทายชาวไร่อีกคน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักผู้คนในแถบนี้อย่างดี

พวกเราหลบเข้าไปในเพิงเล็กๆ ริมทาง เปิดข้าวเหนียวที่นำติดตัวมาขึ้นกินพร้อมกับปิ้งไก่

การได้กินอาหารท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักและดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย

และนั่นคือสาเหตุที่การแพทย์สมัยก่อนแนะนำว่าผู้ป่วยควรออกไปสูดโอโซนหลังการพักฟื้น

และเป็นที่มาของคำว่าสถานตากอากาศในเวลาต่อมา

ชาวไร่คนนั้นนำกาน้ำชามาให้เราหนึ่งกาพร้อมด้วยถ้วยเล็กอีกสองใบ

ไคลน์รินน้ำชาใส่ถ้วยให้ผม ไอร้อนจากน้ำชากรุ่นขึ้นมาท่ามกลางหมอกควันที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา

ผมเอนหลังลงพิงกับเสาของเพิงไม้แห่งนั้นและตั้งคำถามไคลน์ ใกล้วันเดินทางกลับของผมในเย็นนี้แล้ว และหลายอย่างผมต้องการฟังคำตอบที่ชัดเจนจากเขา

“ไคลน์ คุณคิดที่จะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต ตลอดไป หรืออีกนานเพียงใด คุณมีเป้าหมายในใจแล้วหรือยัง?”

ไคลน์จิบน้ำชาในถ้วยอย่างช้าๆ “คำถามของนายเป็นคำถามที่กันพยายามถามตนเองมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางครั้งกันก็กำหนดวันเวลาของการอยู่ที่นี่นะ ในตอนแรกก็คือสองปี ซึ่งยาวนานพอที่จะเห็นผลผลิตของหลายสิ่งที่กันลงแรง แต่แล้วเมื่อครบกำหนดสองปี กันก็พบว่าหลายสิ่งยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก กันจึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสองปี แต่แล้วเมื่อใกล้จะถึงกำหนด กันก็รู้สึกว่าเวลาที่ว่านั้นยังไม่เพียงพอ กันคงคิดว่ากันจะยังไม่จากที่นี่ไปในเร็ววัน แต่กันจะอยู่ต่อไปนานแค่ไหนก็ไม่อาจตอบได้ กันคิดว่ากันโชคดีที่หลายเดือนก่อนกันเดินทางไปที่หลวงพระบาง เข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ที่นั่น กันได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่กันรู้สึกว่าท่านมีความสงบในตัวอย่างมาก จนสิ่งนั้นปรากฏออกมาให้กันเห็น กันถามคำถามที่ไร้สาระเอามากๆ กับท่านว่าท่านแลดูมีความสุขดี ท่านคิดจะเป็นพระภิกษุอีกนานเท่าใด คำตอบของท่านทำให้กันเข้าใจคำตอบของตนเองด้วย”

“คือ” ผมถามไคลน์ต่ออย่างใจจดใจจ่อ

“ท่านตอบกับกันว่าท่านยังไม่ได้ขบคิดในสิ่งนั้น ท่านบอกกับกันว่าการมีคำมั่นอะไรก็ตามที่ยาวนานไปขัดกับความเชื่อในศาสนาพุทธ ท่านต้องการอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสภาวะปัจจุบัน ดังนั้น คำตอบของท่านคือทุกวันที่ตื่นขึ้นและมีความสุขกับการเป็นพระ ท่านก็จะดำรงตนในความสุขและความพึงพอใจที่ว่านั้น และหากวันใดความสุขที่ว่าขาดหายไป ท่านก็พร้อมที่จะสละเพศภิกษุที่ว่านั้นโดยดี คำตอบที่ว่าทำให้กันคิดว่าคำตอบของกันสำหรับคำถามของนายและคำถามที่กันมีต่อตนเองคงไม่ต่างกัน กันจะอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ตราบใดก็ตามที่กันมีความสุขดี พ้นจากสิ่งนี้แล้ว กันก็พร้อมจะจากไปโดยไม่อาวรณ์ วันต่อวัน วันแต่ละวัน คือสิ่งที่กันปรารถนา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ตื่นขึ้น ออกมาทำงาน กลับเข้าสู่ที่พัก หลับ”

“และพร้อมจะตื่นขึ้นสำหรับวันใหม่ต่อไป”

ผมพยักหน้ารับคำตอบของไคลน์ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากทีเดียวที่ผมต้องมานั่งฟังแนวคิดทางศาสนาพุทธว่าด้วยความไม่เที่ยงจากปากคำของมิตรสหายชาวตะวันตก

ไคลน์ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่หลงใหลกับสิ่งอันเป็นสามัญ อาทิ ยาเสพติด หรือชื่อเสียงเหมือนในกาลก่อน

เขากลายเป็นคนชราที่แก่เฒ่าและดูจะเข้าใจความเป็นไปของโลกอย่างถ่องแท้

เราทั้งคู่กล่าวขอบคุณชาวไร่ผู้อารีท่านนั้นสำหรับน้ำชาของเขาก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปบนเขา

ข้างบนนั้นมีกระโจมเพาะปลูกสมุนไพรสำคัญหลายชนิด พาร์สเลย์ ไทม์ ทาร์รากอน

ไคลน์เก็บสมุนไพรเหล่านั้นในปริมาณที่พอควร ผมแน่ใจว่ามันคงเป็นส่วนหนึ่งของสตูไก่ของเรา

มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา “พอน” ไคลน์แนะนำหนุ่มคนนั้นกับผม

เขาเป็นคนหนุ่มแถวนี้ที่รับจ้างทำงานให้ไคลน์มาระยะหนึ่งแล้ว

หน้าที่ของเขาคือดูแลแปลงสมุนไพรและทดลองปลูกพืชหลายอย่างที่ไคลน์นำมา

อาทิ Brussel Sprout ที่เราผ่านทางมา ผมถามพอนถึงชีวิตที่นี่ เขาตอบว่าในอดีตแถบนี้เต็มไปด้วยพืชไม่กี่ชนิด อาทิ ชา หรือแม้กระทั่งฝิ่น

แต่การเข้ามาของไคลน์และผู้บุกเบิกอีกหลายคนทำให้มีพืชนานาชนิดเกิดขึ้นที่นี่

เราอยู่ในแปลงเกษตรแห่งนั้นกับกาแฟสดที่พอนชงให้เรา มันเป็นกาแฟอราบิก้าที่คั่วเองด้วยมือของเขา

หอมและมีกลิ่นอันน่าพึงพอใจ

แดดยามเที่ยงลุกลามมา ไคลน์บอกผมว่าได้เวลากลับของเราแล้วก่อนที่แดดจะจัดกว่านี้

พวกเราเดินลงจากเขา ผ่านกลุ่มคนงานที่กำลังกลับบ้านไปกินอาหารกลางวัน

ไม่นานนักเราก็กลับมาถึงที่พักของไคลน์

และแทบจะทันทีที่ถึงที่พัก ไคลน์ก็ตั้งหม้อซุปลงกับเตา เขาเอาไก่สดออกจากตู้เย็น ผ่า Brussel Sprout ออกเป็นสี่แฉกและเริ่มต้นการทำสตู มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ ถูกลำเลียงออกมา รวมทั้งแคร์รอตและมันฝรั่ง

ผมเฝ้ามองการทำอาหารของไคลน์อย่างเพลิดเพลินพร้อมกับการจุดบุหรี่ขึ้นสูบเป็นระยะ

ไม่นานนักกลิ่นหอมที่เกิดจากเครื่องเทศก็พวยพุ่งออกจากหม้อ ไคลน์ปิดฝา และหมั่นเคี่ยวมันทุกสิบห้านาที

และนี่คือบทสนทนาของเราระหว่างนั้น

“กันคิดว่ากันเพียงแค่มาเยี่ยมเพื่อนเก่าคนหนึ่ง แต่สิ่งที่กันได้พบที่นี่ มีอะไรมากกว่านั้น” ผมพูด

“กันพบว่ากันได้มาเจอแนวทางในการใช้ชีวิตนับจากนี้แล้ว”

ไคลน์ทำสีหน้างุนงง

“แนวทางในการใช้ชีวิต นายหมายความว่าการที่นายได้พบกับกัน นายได้พบแนวทางในการใช้ชีวิตของนายด้วยหรือ?”

“อือม์” ผมพยักหน้า

“กันได้พบว่าการอยู่กับปัจจุบันเป็นคำตอบที่เรียบง่ายและทรงพลังที่สุด คำตอบหนึ่ง เลือกสิ่งที่เรารักและลงมือทำมันวันละน้อยต่อวันอย่างไม่กังวล สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดดอกออกผลเมื่อใดนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่เราอยู่กับมันแบบหมดจิตหมดใจกลับเป็นสิ่งสำคัญกว่า เราเติบโตจากมัน มีชีวิตที่ดีหรือเรียนรู้จากมัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

ไคลน์ยิ้มเล็กน้อย “ฟังดูเป็นอะไรที่สูงส่งและดูดีมากๆ แต่นั่นแหละ กันคิดว่าหลายสิ่งที่สูงส่งและดูดีมากๆ นั้นทำได้ยากเหลือเกินในชีวิตจริง”

เราเปิดไวน์แดงดื่มกันตั้งแต่บ่าย สตูไก่ของไคลน์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้อยู่ในร้านอาหารชั้นดี

บทสนทนาของเราลื่นไหลไปยังเรื่องราวของเชฟที่เรารู้จักในลอนดอน

ร้านอาหารที่เรารู้จักในลอนดอน ผู้คนที่เรารู้จักในลอนดอน ไล่เรื่อยมาถึงอนาคตของอาหารในโลกนี้ ชีวิตของผู้คนที่มีการบริโภคคุณค่าอาหารที่เลวลงทุกทีจนถึงอะไรคือสิ่งที่ควรสะสมไว้กับชีวิตก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป มีทั้งเรื่องราวที่มีสาระและไม่มีสาระในมื้ออาหารบ่ายนั้น

ไคลน์ออกมาส่งผมที่ท่ารถในยามเย็น ผมจะโดยสารรถเที่ยงขึ้นจากวังเวียงไปยังหลวงพระบาง พักอยู่ที่นั่นสักสองสามวันก่อนจะบินออกจากเมืองนั้น

ผมกอดไคลน์ไว้แน่นเมื่อรถประจำทางมาถึง

“จนกว่าจะพบกันอีก”

ไคลน์พูดกับผมซึ่งผมก็พูดกับไคลน์ด้วยถ้อยคำนั้นเช่นกัน

ไม่ช้ารถก็เดินทางออกจากเมืองกาสีและขับฝ่าไปในความมืด

ผมนั่งมองทิวทัศน์ข้างทางที่มืดมิดลงทุกขณะ

วันอีกวันหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว วันใหม่ก็จะมาถึงในไม่ช้า ความมืดมาถึงและความสว่างก็จะติดตามมาก่อนจะวนกลับด้วยความมืดอีกครั้งหนึ่ง

ผมอาจจะได้กลับมาเยี่ยมไคลน์อีก

หรืออาจไม่มีโอกาสเช่นนั้น หรือเขาอาจไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

แต่วันนี้วันที่ผมได้ร่วมวงอาหารกับเขามีอยู่จริง

วันอื่นนั้นเป็นเพียงการเดินทางต่อเนื่องไปของเวลา

เราควรอยู่กับปัจุบันและใช้ชีวิตเช่นนั้นอย่างถึงที่สุด ผมคิดเช่นนั้น

นั่นคือบทเรียนที่ผมได้รับ