คำ ผกา : สิ่งดีๆ ที่เราภูมิใจ

คำ ผกา

ได้อ่านข้อเขียนที่คล้ายๆ ความเรียงชิ้นหนึ่งที่แชร์ต่อๆ กันมาในเฟซบุ๊ก ว่าด้วย “ประเทศไทยไม่ได้แย่ แค่อาจมีเรื่องต่อพัฒนาต่ออีกนิสสสนึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องเริ่มต้นด้วยการรัก และภูมิใจในประเทศของเราก่อน ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการก่นด่าประเทศว่า เมืองไทยทำไมแย่จัง รถติด ของแพง อากาศเสีย ผังเมืองห่วย”

จากนั้นก็บรรยายให้เห็นว่าเมืองไทยมีดีอะไรบ้าง

ดีขนาดฝรั่งหลายๆ คนยังยกนิ้วให้ และบอกว่าไม่มีที่ไหนจะอยู่สบายในราคาถูกเท่าเมืองไทยอีกแล้ว คุณภาพชีวิตแพง ค่าครองชีพต่ำ จ่ายน้อยได้มากอะไรอย่างนั้น

สิ่งดีๆ ในเมืองไทยที่ต่างประเทศหรือแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็สู้ไม่ได้ตามที่ความเรียงชิ้นนี้ระบุมา เช่น อาหารอร่อยและถูกมาก

ฟาสต์ฟู้ดเมืองนอกมีแค่เบอร์เกอร์ แซนด์วิช แต่ไทยมีข้าวแกงที่ใช้เครื่องแกงเป็นสิบอย่าง เคี่ยวเป็นชั่วโมงๆ จะกินอะไรก็มีขาย 24 ชั่วโมง ชีวิตดี๊ดี จะกินอาหารข้างถนน อาหารภัตตาคาร อาหารห้าดาว จะกินไทย จีน แขก ฝรั่ง ญี่ปุ่น ครบครันง่ายดายไปหมด

ถัดจากอาหาร บ้านเรามีงานบริการเป็นเลิศ มีงานช่างฝีมือเป็นเยี่ยม แถมยังเป็นฮับของการแพทย์ มีหมอ มีโรงพยาบาล ในราคาถูกกว่าเมืองนอกอีกนะยู้ว์ ฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยก็ถือโอกาสมาหาหมอเสียเลย เพราะมันแสนถูก

แล้วเรายังจะมีโรงแรมดีๆ บริการเลิศๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ป่า เขา ทะเล บลาบลาบลา

รถติดเหรอ? โอ๊ยย ยูว์ เมืองใหญ่ๆ ในโลกนี้รถก็ติดกันทั้งนั้นแหละ อย่างบ้านเมืองที่เจริญมากๆ รถติดธรรมดาจะตายไป แล้วก็แค่กรุงเทพฯ ที่รถติด ต่างจังหวัดก็ไม่ติดนะ ถนนหนทางกว้างขวาง

เมืองไทยไม่ปลอดภัย? โอ๊ยย อิตาลี ฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวโดนล้วงกระเป๋ากันโครมๆ มิจฉาชีพที่ไหนก็มีทั้งนั้นแหละ (1)

เรื่องที่ต้องปรับปรุงน่ะก็มี แต่แหม ก็เป็นธรรมดาป่ะ? แต่เรื่องดีๆ เราก็เยอะ!

อ่านผ่านๆ แบบไม่ใช้ความคิดมากก็เคลิ้มได้ว่า จริง แต่ข้อเขียนแบบนี้ที่นิยมแชร์และส่งกันในโซเชียลมีเดีย สะท้อนสิ่งที่ผิดปกติมากหลายๆ อย่างของสังคมไทย

ประการแรก การบอกว่าประเทศชาติจะดี จะพัฒนา จะแก้ไข ปรับปรุงได้ ต้องเริ่มจากการที่คนในประเทศนั้นต้องภูมิใจในชาติในประเทศของตัวเองเสียก่อน ไม่รู้จะเป็นการเกินเลยไปไหมที่จะบอกว่า ฉันยังไม่เคยเห็นคนชาติไหนเป็นแบบนี้มาก่อน นอกจากคนไทย

ใช่ คนญี่ปุ่นอาจจะภูมิใจว่าข้าวของประเทศตัวเองอร่อยที่สุด

คนฝรั่งเศสอาจจะบอกว่าตัวเองทำไวน์เก่งที่สุด คนอิตาลีอาจจะบอกว่าตัวเองทำพาสต้าเก่งที่สุด

แต่ทั้งหมดนี้มันไม่เหมือนสำนึกที่เราพบในคนไทยจำนวนมากที่เชื่อว่า ยังไงๆ เราต้องรักต้องภูมิใจในชาติของตัวเองไว้ก่อน

คนไทยมีความรักชาติ เหมือนความศรัทธาในศาสนาหรือความเชื่อ

นั่นคือ เป็นความรักโดยไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข เห็นชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาขึ้นหิ้งบูชามากกว่าจะเห็นชาติเป็น “หน่วยทางการเมือง” อันประกอบไปด้วย ดินแดน ประชากร อำนาจอธิปไตย

ถ้าเราเห็นชาติเป็นหน่วยทางการเมืองหน่วยหนึ่ง ในฐานะพลเมืองของชาตินั้นๆ เราย่อมมีความรู้สึกที่หลากหลายต่อชาติของเราได้

เช่น ภูมิใจในบางเรื่องของเรา ผิดหวังในบางเรื่องของเรา

พินิจไปในประวัติศาสตร์ที่เห็นทั้งด้านดี ด้านเลว ด้านที่สำเร็จ ด้านที่ล้มเหลว ยอมรับในความอัปลักษณ์พ่ายแพ้ของตนเอง

ประวัติศาสตร์ชาติไม่ได้มีไว้ภูมิใจ แต่มีไว้สำรวจความผิดพลาด ความเลวร้ายของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ทำความผิดซ้ำซากอย่างนั้นอีก

เช่น การยอมรับประวัติศาสต์ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของเยอรมัน

ประเทศที่ไม่มีปมด้อย คือประเทศที่ยอมรับตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น

อะไรที่แย่ก็ยอมรับว่าแย่

อะไรที่ดีก็ยอมรับว่า เออ อันนี้พอใช้ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราดีวิเศษวิโสกว่าชาติอื่น

การไม่มีปมด้อยเช่นนี้ ทำให้คนในชาตินั้นๆ ไม่ต้องคอยไปเค้นเอาคำตอบจากฝรั่งมังค่าว่า “เห็นไหม ขนาดฝรั่งเขายังชอบมาอยู่บ้านเราเลย”

ทีนี้มาดูแต่ละตัวอย่างที่ยกมาว่า “เห็นไหม เมืองไทยดีจะตาย มีอะไรหลายอย่างที่เมืองอื่นไม่มี”

อาหารอร่อยและราคาถูก ความจริงก็คือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทรัพยากรและความเจริญมากระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่างจังหวัดอาจมีอาหารอร่อย ราคาถูก วัตถุดิบสด ดี มีคุณภาพ

แต่ถ้าคุณใช้ชีวิตอยู่ในต่างจังหวัด คุณจะเข้าไม่ถึงแหล่งงาน ทรัพยากร รวมถึงทุนทางวัฒนธรรม โรงเรียน โรงหนัง มิวเซียม หอศิลป์ อีกหลายอย่างที่มันมีอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น

แล้วอาหารราคาถูกในกรุงเทพฯ หรือข้าวแกงในกรุงเทพฯ ราคาไม่ถูกเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ราคาข้าวราดแกง 2 อย่าง 50 บาทนั้นแทบจะไม่อิ่ม และอย่าลืมว่าค่าแรงขั้นต่ำคนไทยแค่วันละสามร้อยบาทเท่านั้น

นี่ยังไม่พูดถึงคุณภาพอาหาร แกงในถาดข้าวแกงที่โม้ว่าเครื่องเทศนับสิบอย่างเคี่ยวเป็นชั่วโมงๆ นั้น ประกอบไปด้วยสารกันบูด น้ำตาลที่มากเกินไป ผักที่ล้างไม่สะอาด สารตกค้างประเภทยาฆ่าแมลงในอาหาร ผงชูรส เครื่องปรุงรสที่ไม่ได้มาตรฐาน

ไม่นับการใช้น้ำส้มสายชูปลอม

การล้างจาน ล้างภาชนะที่ไม่สะอาด เพราะล้างในกะละมังอย่างข้างถนน ฟองจากซันไลต์ฟอดๆ มีน้ำล้างอย่างจำกัด ในจานชามที่กินจึงน่าจะมีสารตกค้างของน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกอยู่ด้วย

ทั้งนี้ ยังไม่นับว่าคนไทยต้องซื้อน้ำสะอาดดื่มในราคาที่แพงมาก!!!!

น้ำขวดละ 8 บาท 10 บาท นี่คือขวดเล็ก ทั้งๆ ที่น้ำสะอาดคือโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ที่รัฐต้องจัดให้ประชาชน

น้ำประปาจากก๊อก ควรเป็นน้ำที่เราเปิดกินได้เลยอย่างสบายใจ

แต่เมืองไทยมีใครกล้ากินน้ำก๊อกบ้าง?

ส่วนอาหารนานาชาติที่มีให้เลือกกินอย่างดกดื่นในประเทศไทย หาง่าย ราคาถูก ทั้งอาหารญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส อะไรเหล่านั้น ก็กระจุกตัวแค่เมืองใหญ่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่

และแน่นอน มันราคาถูกสำหรับ “ผู้มีอันจะกิน” ชาวไทยและ expat ชาวต่างชาติที่รับเงินเดือนเป็นดอลลาร์ แล้วมาใช้ในประเทศโลกที่สามอย่างประเทศไทย

ในสายตา expat ญี่ปุ่น ฝรั่งต่างชาติ จึงพากันร้องอู้อ้าเป็นเสียงเดียวกันว่า “ว้าวว อยู่เมืองไทยดีจัง ถูกจัง พริวิเลจ ดีจัง”

บรรดาซาลารีแมนคนญี่ปุ่นที่มาอยู่เมืองไทยพร้อมลูกเมียนั้น การอยู่เมืองไทยนั้นสบาย ได้เป็นคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย กินข้าวทองหล่อ จิบชา กินเค้ก ช้อปปิ้งสวยๆ มีคนขับรถ ใช้ชีวิตดั่งเจ้าหญิงเจ้าชาย

แต่พอย้ายกลับไปญี่ปุ่น ต้องปั่นจักรยาน แบกลูกซ้อนหน้าซ้อนหลัง แวะจ่ายกับข้าวด้วยจักรยานท่อกๆๆ คนใช้ไม่มี คนขับรถไม่มี

แล้วแบบนี้จะไม่ให้เลิฟเมืองไทยได้ยังไงกัน

เช่นเดียวกับฝรั่งอั้งม้อ นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศต่างๆ ที่มาอยู่เมืองไทยก็ไม่ต่างจากข้าราชการอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 ที่ต้องมาอยู่อินโดนีเซีย อยู่เวียดนาม อยู่พม่า

ในบ้านเกิดของตัวเองก็เป็นฝรั่งโนเนม พอย้ายมาทำงานเมืองขึ้นก็กลายเป็นนายฝรั่งไฮโซ กินหรู อยู่แพง มีคนพื้นเมืองคอยรับใช้ มีชีวิตอยู่ในย่าน “expat” โดยเฉพาะ ไม่ได้ปะปนกับคนพื้นเมือง มีร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงแรม สระว่ายน้ำ สปอร์ตคลับ เป็นของตนเอง

ดังนั้น ที่บอกว่าฝรั่งมาเที่ยวแล้วต้องมาทำฟัน มาหาหมอเมืองไทย มันไม่ได้แปลว่าเมืองไทยนี้ดีจริง การแพทย์เราเริ่ด ก้าวหน้า ทันสมัย ฝรั่งยังต้องมาใช้บริการ

ตรงกันข้าม มันตอกย้ำให้เห้นว่าประเทศนี้แย่แล้ว พี่ตูนเพิ่งวิ่งใต้จรดเหนือหาเงินบริจาคช่วยโรงพยาบาล

อ้าว! เอ๊ะ! แล้วเมดิคัลฮับ โรงพยาบาลเอกชน มีทั้งฝรั่ง แขก อาหรับมาใช้บริการให้ทึ่ดๆ แปลได้ว่าเมดิคัลเหล่านี้มีไว้บริการคนรวยกระหย่อมหนึ่ง ซึ่งคนไทยส่วนมากที่ยากจน ยังต้องต่อคิวโรงพยาบาลยาวเฟื้อย

เผลอๆ บางที่ต้องไปรอตั้งแต่ตีห้า หมอที่ทำงานใช้ทุนอยู่ในโรงพยาบาลรัฐยังต้องทำงานหนักจนแทบจะหัวใจวายกันไปข้าง

ชนิดที่ไม่รู้ว่า ในโรงพยาบาลเหล่านี้ ระหว่างหมอกับคนไข้ ไม่รู้ใครจะตายก่อนกัน

โรงแรมหรูที่พักดี บริหารดี งานฝีมือเยี่ยม สถานที่ท่องเที่ยวอลังการ หลากหลาย อะไรต่อมิอะไรที่บรรยายมาว่า เมืองไทยช่างดีเหลือเกินนั้น ถามว่าประเทศอื่นเขาไม่มีหรือ? ประเทศเขาก็มีทะเล ประเทศเราก็มีทะเล แต่ทะเลของประเทศเรากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวราคาถูกสำหรับนักท่องเที่ยว และมีคนไทยอย่างเราในฐานะคนพื้นเมืองทำงานเป็นคนเปิดประตูโรงแรม เป็นพนักงานเสิร์ฟ เป็นคนขับรถกอล์ฟขนกระเป๋านักท่องเที่ยว เป็นพนักงานนวด เป็นหมอนวดริมหาด เป็นคนหาบไข่ปิ้งขาย เป็นเจ้าของรถเข็นขายผัดไทยห่อละ 15 บาท

เราเห็นอะไรในภาพเหล่านี้?

เห็นเรื่องราวดีๆ หรือเห็นบ้านเมืองยุคอาณานิคมในศตวรรษที่ 21?

เวลาที่มีคนถามว่า ภูมิใจอะไรในประเทศของตัว

สิ่งที่ฉันอยากจะตอบ ไม่ใช่อยากตอบว่า ภูมิใจที่ประเทศของฉันเป็นประเทศที่คุณภาพชีวิตแพง ค่าแรงถูก มีนวดเท้าชั่วโมงละ 200 ถูกเป็นขี้เมื่อเทียบกับค่าแรงของคนประเทศโลกที่ 1

ฉันคงไม่สามารถภูมิใจที่ประเทศของตนเองเป็นประเทศ “ราคาถูก” สำหรับนักท่องเที่ยวและ expat

แต่คุณภาพชีวิตเจ้าของประเทศที่เป็นคนส่วนใหญ่ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินนี่ ถามว่าเราควรดีใจ? ภูมิใจ? หรือตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับการพัฒนาประเทศนี้ เกิดอะไรขึ้นกับโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจของประเทศนี้

เวลามีคนถามว่าภูมิใจอะไรในประเทศของคุณ

ฉันก็ฝันว่า วันหนึ่งเราจะได้คำถามนี้ว่า ภูมิใจที่ประเทศของเรามีคุณภาพการศึกษาดี

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนในชาติน้อย

สื่อและประชาชนมีเสรีภาพในการพูด คิด เขียน เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการอ่านเข้มแข็ง

เป็นประเทศให้คุณค่ากับประชาธิปไตยและเสรีนิยม ฯลฯ

เอาไว้วันไหนมีสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายืดอก ภูมิใจ คุยกับชาวบ้านได้ วันนั้นแหละที่เราจะสามารถพูดได้ว่า เออ…ประเทศเราก็มีอะไรดีๆ ให้ภูมิใจนะ

อ้างอิงที่มา (1) 

https://www.facebook.com/chaiyapon/posts/10214260074288513