“ครม.ส่วนหน้า” ดับไฟใต้ “บิ๊กโด่ง” นำทัพ ไม่แก้เกี้ยว-เกาเหลา ไม่ร่วมศูนย์ “เพื่อนเกษียณฯ”

นับจากเหตุระเบิดหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์นวิว จ.ปัตตานี โรงเรียนบ้านตาบา จ.นราธิวาส เหตุระเบิดรถไฟ จ.ปัตตานี ทำให้มีการตั้งคณะผู้แทนรัฐบาลพิเศษ “ครม.ส่วนหน้า” ขึ้น โดยจะมีสมาชิกที่เป็นข้าราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว เคยทำงานในพื้นที่ และมีหัวหน้าคณะอยู่ในระดับรัฐมนตรี

ที่ประชุม ครม. (4 ตุลาคม) ได้รับทราบรายชื่อ “ครม.ส่วนหน้า” ทั้ง 13 คน หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามเห็นชอบ ร่วมพิจารณากับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) จึงเรียกคณะผู้แทนรัฐบาลพิเศษ อีกอย่างว่า “คปต.ส่วนหน้า”

“การทำงานต่างๆ เดิมก็มีเอกภาพอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของการตัดสินใจก็จะรวดเร็วขึ้น เพราะก่อนหน้านี้กว่าจะผ่านขั้นตอนมาได้ต้องใช้เวลา แล้วเมื่อมีคนลงไปกำกับดูแล ที่สามารถตัดสินใจ และยกหูโทรศัพท์คุยกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลการตัดสินใจก็จะเร็วขึ้น” พล.อ.ประวิตร กล่าว

โดย “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม นั่งหัวหน้าทีม “ครม.ส่วนหน้า” มี “ครูน้อย” พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ นั่งรองหัวหน้าทีม เพราะดูแลงานการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้มาตลอด เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.14 กับ “บิ๊กโด่ง” อีกทั้งมี “บิ๊กโบ้” พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมทีมด้วย

นอกจากนี้ มีอดีต มทภ.4 พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ พล.อ.สกล ชื่นตระกูล พล.อ.ปราการ ชลยุทธ พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ และ พล.อ.จำลอง คุณสงค์ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ อดีต รอง มทภ.4 อดีตนายตำรวจ พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ อดีต ผบ.ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และอดีตข้าราชการพลเรือน นายจำนัล เหมือนดำ อดีตรองเลขาธิการ ศอ.บต. นายพรชาต บุนนาค อดีตรองเลขาธิการ สมช. และ นายภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นเลขาธิการ ครม.ส่วนหน้า

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นทันที คือ มีอดีตนายทหารมากกว่าอดีตข้าราชการพลเรือน จะแก้ปัญหาได้ทุกมิติหรือไม่ จน “บิ๊กป้อม” ต้องออกมารับประกันว่า “ทหารรู้งาน เพราะอยู่มาตั้งแต่เด็ก อยู่จนเป็นแม่ทัพภาค รู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะได้มาปรึกษากัน”

ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดช ได้นัดประชุมนัดแรก 6 ตุลาคม ซึ่งประชุมได้พิจารณาการจะใช้ค่ายพระสุริยโยทัย กองพลทหารราบที่ 15 จ.ปัตตานี เป็นสถานที่ทำงาน

“แต่ละคนที่ทราบว่ามีรายชื่อในคณะแล้ว ก็คงได้เตรียมความพร้อม ในส่วนแผนงาน ผมจะพยายามทำให้ผลการปฏิบัติงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ใหญ่ได้วางไว้ คณะจะได้ไปติดตามและประสานงาน แนะนำเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

โดยแผนงานนี้แบ่งตาม คปต. เดิมได้แบ่งแผนงานไว้ 7 กลุ่มงาน มีผู้รับผิดชอบ 3 ฝ่าย

กอ.รมน. ดูแลกลุ่มงานด้านรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้ากลุ่มงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยสนับสนุน

ศอ.บต. ดูแลกลุ่มงานอำนวยความยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้า กลุ่มงานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้า กลุ่มงานการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหัวหน้า กลุ่มงานพัฒนาตามศักยภาพพื้นที่และคุณภาพชีวิต กระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้า

กลุ่มงานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบาย กลุ่มงานแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง สมช. เป็นหัวหน้ากลุ่ม และมีหน่วยงานสนับสนุน คือ กอ.รมน.

“คณะทำงาน 13 คน มาจากความเห็นชอบของผู้ใหญ่ ที่เห็นจากประสบการณ์ จากที่ดูรายชื่อเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร หลายคนอาจคิดว่า ทหารคงไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างอื่น แต่ละท่านแม้เป็นทหาร แต่การทำงานพื้นที่ ได้ดูแลกระทรวงต่างๆ ในพื้นที่มาทุกกระทรวง โดยเฉพาะแนวทางของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้วคือ การบูรณาการทุกกระทรวง” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

ส่วนเรื่องการตัดสินใจใช้กำลังนั้น จะมีแม่ทัพภาคที่ 4 ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และ ศอ.บต. สั่งการในพื้นที่ได้อยู่แล้ว

ถือเป็นการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนงาน คือ งานความมั่นคงและพัฒนา จึงมีการมองว่า “คปต.ส่วนหน้า” ชุดนี้ จะเกาเหลากับ กอ.รมน. และ ศอ.บต. หรือไม่

“ไม่เคยเห็นจะมีความไม่ลงรอยกันอย่างไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ สมัยเป็น ผบ.ทบ. ก็ได้รับนโยบายมา ก็ร่วมงานกันด้วยดี เมื่อมาเป็นนายกฯ ก็แบ่งเป็น 2 แท่ง ที่บูรณาการและคู่ขนานกันตลอด” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

โดย พล.อ.อุดมเดช ได้โต้การการวิพากษ์วิจารณ์การตั้งคณะทำงานชุดใหม่นี้จะเป็นเพียงการตั้งแก้เกี้ยวหลังเกิดเหตุระเบิด จะซ้ำรอยคณะกรรมการชุดต่างๆ ในรัฐบาลก่อนหน้านี้

“คณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นมาทุกรัฐบาล ผมเชื่อว่าทุกคนตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจทุกเรื่องคงไม่ดีขึ้นจนถึงวันนี้ แต่วันนี้ยังมีอยู่บ้าง จึงตั้งคณะทำงานนี้ขึ้นมา อย่าไปพูดว่าสิ่งที่ผ่านมาไม่ได้ประโยชน์ ผมเชื่อว่าในแต่ละปีได้แก้ปัญหามาแล้ว” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

ที่สำคัญคือมาตรการด้านการข่าว หลายครั้งทราบการข่าวก่อนเกิดเหตุ แต่ไม่สามารถพิกัดจุดได้ชัดเจน เช่น รางรถไฟที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตร หลายครั้งการข่าวก็สามารถทำให้สกัด ป้องกันเหตุ จับกุมผู้ก่อเหตุได้ จากการปล้นรถไปทำคาร์บอมบ์

แต่อุปสรรคด้านหน่วยข่าว คือ การกำหนดต้นเหตุของการก่อเหตุความรุนแรง ที่ยังไม่เป็นเอกภาพ ระหว่างภัยแทรกซ้อน กับการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ ว่าปัจจัยใจเป็นสิ่งเร้าอันดับแรก ส่วนที่มองว่าอุดมการณ์เป็นปัจจัยหลัก ชี้ว่ามีการจัดตั้งขบวนการชัดเจน แบ่งหน้าที่ดูแลด้านกองกำลัง สังคม เศรษฐกิจ เป็นประชาชนทั่วไปในพื้นที่ แบ่งการทำงานเป็นลำดับขั้นชัดเจน และกลยุทธ์ทางกองกำลังที่มีการฝึกใช้อาวุธ

แต่ฝ่ายที่มองว่าปัจจัยเร้ามาจากภัยแทรกซ้อน ชี้ว่าการค้าสิ่งผิดกฎหมาย น้ำมันเถื่อน บุหรี่-สุราหนีภาษี บ่อนออนไลน์ การค้ามนุษย์ เป็นแหล่งทุนการก่อเหตุ การก่อเหตุเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในพื้นที่ ร้อยละ 80 การก่อเหตุด้วยอุดมการณ์ มีเพียงร้อยละ 20

การตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” ครั้งนี้ จึงต้องยกเครื่องด้านการข่าว สร้างเอกภาพเป็นอย่างแรก เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ เห็นได้จากการตั้ง “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ตามม็อตโต้ทหารสายรบพิเศษ ว่า “พลังเงียบ เฉียบขาด” เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องอาศัยงานข่าวขั้นสูง เพราะหน่วยรบพิเศษถือเป็นสายข่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการตั้ง “บิ๊กอาร์ต” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ถือเป็นมือหนึ่งด้านการข่าวในพื้นที่มากว่า 20 ปี เป็นอีกนายทหารสายรบพิเศษอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงต่อเนื่องมา 12 ปี ให้เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวัง ด้วยประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ แม้เกษียณฯ แล้ว แต่ยังไม่หมดไฟ ทำงานได้

ไม่ให้ใครมองว่า เป็นที่ร่วม “เพื่อนเกษียณฯ” แล้วเท่านั้น !!