อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ วิเคราะห์พรรคสุเทพ มองเผินๆ ก็เหมือนพรรคใหม่ทั่วๆ ไป คงไม่มีอำนาจต่อรองมาก

จากการศึกษาการเมืองมามากกว่า 50 ปี ประเด็นหนึ่งที่สำคัญ “ผมไม่เคยเชื่อนักการเมือง” ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมาเราก็รับฟังจะมีเหตุผลหรือไม่เราก็ฟัง

ส่วนการให้น้ำหนัก ต้องใช้ดุลพินิจ ถ้าคุณติดตามการเมืองดีๆ คุณจะพบว่ารัฐมนตรีแทบทุกคนโกหกทุกวัน เพราะฉะนั้น ประชาชนต้องรู้ไว้ว่าอย่าไปเชื่อนักการเมืองมาก

ซึ่งกรณีของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ที่ออกมาประกาศตัวในวันเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทย แม้จะถูกคนกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ ไม่ว่าใครจะใช้คำว่าอะไรก็แล้วแต่ ผมมองว่าคุณสุเทพคงจะรู้ตัวเองว่ามีอะไรบีบบังคับอยู่หรือไม่ และนี่คือเรื่องที่ใหญ่กว่าในทางการเมือง

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้ความเห็นต่อท่าทีของสุเทพ เทือกสุบรรณ ในวันที่หลั่งน้ำตาและกล่าวว่า ขอเป็น “ขี้ข้าประชาชน”

รศ.อัษฎางค์ตั้งข้อสังเกตหนึ่ง ที่อยากให้ประชาชนโดยทั่วไปพิจารณาดูคือ นักการเมืองระดับใหญ่ๆ ส่วนมากจะเล่นการเมืองจนตาย เพราะว่ามีความกลัว “น้ำลดตอผุด” ไม่มีใครที่จะประกาศเลิกเล่นก่อน

ส่วนคนที่ไม่ค่อยมีบทบาท หรือไม่ใหญ่โตมากนักก็จะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ซึ่งใครที่เข้ามาในสนามนี้ไม่มีอยู่สบาย

เมื่อดูกรณีของคุณสุเทพผมคิดว่าเขาพยายามหาทางออกอยู่นานมาก ตอนแรกๆ ดูเหมือนว่าจะถูกปล่อยเกาะ แต่ไปๆ มาๆ ก็เห็นว่าพลพรรคที่ได้ร่วมหัวจมท้ายในการละเมิดกติกาครั้งนั้นก็กลับมารวมตัวกัน

ซึ่งผมไม่เคยให้เครดิตคนพวกนี้เลย ไม่ว่านักวิชาการหรือตำแหน่งใดๆ ก็ดีที่เข้าไปร่วม ต้องมีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนที่เรียนจบรัฐศาสตร์ถึงระดับปริญญาเอก ควรจะต้องมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะคุณน่าจะรู้ว่าการที่ไปวุ่นวายหรือไปยึดอำนาจของคนอื่นๆ เขาเป็นเรื่องที่ผิด! เป็นการฉีกตำราที่เคยเรียนมาทิ้ง แต่ก็เป็นสิทธิของเขาในทางการเมืองที่จะทำอะไรก็ได้

ฉะนั้น การตั้งพรรคครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย และเชื่อว่าต่อจากนี้จะมีการรวมตัวกันและรวมคนในกลุ่มนี้มากขึ้น

ซึ่งมองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอยู่แล้ว นักการเมืองที่ร่วมก็ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่เข้าใจคำว่าประชาธิปไตย

ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าเขาประกาศสนับสนุนรัฐบาลทหารมาโดยตลอด ต่อมาก็มีความพยายามในการชักจูงหรือเจรจากับพรรคเก่าของตัวเองแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยมองว่าพรรคเก่าคงมองทะลุออกว่าการเมืองในวันข้างหน้าประชาชนจะยึดหลักประชาธิปไตยสูงขึ้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ในพรรค ไม่มีทางที่จะกล้าประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าก่อนนี้เราดูเหมือนว่าอาจจะยังกั๊กๆ อยู่

แต่หลังๆ เริ่มพูดชัดเจนขึ้นและบ่อยครั้งขึ้นว่าไม่เอาด้วย

ปรากฏการณ์ที่จะเห็นต่อจากนี้ รศ.อัษฎางค์มองว่า อาจจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปเล็กน้อย “ส่วนตัวผมอยากจะให้พิสูจน์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ว่าหาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกไป แล้วไปสังกัดพรรคใหม่ของคุณสุเทพ ผมก็อยากจะดูว่าถ้าลงแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะชนะหรือไม่ ซึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี คุณสุเทพอาจจะยังมีอิทธิพลอยู่ แต่ผมก็ยังจะเชื่อพลังของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดอยู่” รศ.อัษฎางค์กล่าว

“ดังนั้น จึงไม่เคยคิดว่าพรรคใหม่นี้จะชนะหรือมีอัตราต่อรองได้มาก ถึงแม้ว่าจะได้นักการเมืองคนสำคัญไปก็ตาม คำถามสำคัญคือคุณจะไปแบ่งกับจังหวัดไหนพื้นที่ใด? เพราะว่าในแต่ละจังหวัดมีเจ้าของพื้นที่อยู่ ถามว่าจะไปแบ่งกับพื้นที่พลังชลได้หรือ จะไปแบ่งในจังหวัดสุพรรณบุรีได้หรือไม่ จะไปแบ่งในพื้นที่ภาคอีสาน ทุกพื้นที่ล้วนมีเจ้าของเดิมอยู่”

“แต่ตัวแปรสำคัญประการหนึ่งที่จะสามารถเปลี่ยนได้คือ ต้องดูในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ว่าหากมีการปลดล็อกให้สามารถทำกิจกรรมได้ ต้องดูว่าเขาจะมีกลวิธีโน้มน้าวใจประชาชนอย่างไร”

“สิ่งหนึ่งที่ผมพูดมาโดยตลอด คือพรรคการเมืองจะมั่นใจว่าตัวเองจะแข็งแกร่งหรือจะโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมจำนนต่อคณะทหารก็ต่อเมื่อเวลา 2 ทุ่มของวันเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคเมื่อรู้จำนวนแล้ว ว่าตัวเองได้เก้าอี้กี่ที่นั่ง กระบวนการต่อรองก็จะเริ่มขึ้น ซึ่ง ณ วันนี้เราก็พอมองเห็นว่ามีพรรคการเมืองหรือนักการเมืองบางคนเริ่มต่อรองแล้ว แม้จะยังไม่เข้าสู่บรรยากาศของการเลือกตั้ง ผมเองอยากจะให้คนที่หลั่งน้ำตา ลงเลือกตั้งในสุราษฎร์ฯ อาจจะได้มา 1 เสียง แต่ถ้าดูวันนี้มองเผินๆ พรรคคุณสุเทพก็เหมือนพรรคธรรมดาที่เกิดใหม่ ที่จดทะเบียนใหม่ เพราะประชาชนยังไม่รู้ว่านโยบายที่สำคัญคืออะไร”

“แต่ถ้า คสช. อยากได้ความมั่นใจในการกลับมา ผมก็บอกเสมอว่าถ้าอยากจะรู้ว่าพลังทางการเมืองและศรัทธาทางการเมืองของตัวเองอย่างแท้จริงให้เปิดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนในเดือนพฤศจิกายนนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าบุคคลที่คุณไปจับมือเอาไว้เขามีของจริง หรือไม่มีของ”

ส่วนมุมมองต่อกรณีพรรคของคุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะเดินทางต่างหรือเหมือนกับสุเทพอย่างไรนั้น

“ผมมองว่าคุณสมคิดจะเน้นไปที่คนเมืองเป็นหลัก เน้นขายความคิดด้านเศรษฐกิจให้คนรวยไปโน้มน้าวคนงานของตัวเอง เช่นเจ้าสัวทั้งหลายที่มีคนงานเยอะๆ ไม่ต้องกลับไปบ้านให้ย้ายมาลงทะเบียนในเขตเลือกตั้งที่ทำงาน หาช่องทางให้มาลงคะแนน โดยผมเชื่อว่าน่าจะออกมาในลักษณะนี้” รศ.อัษฎางค์กล่าว

“ขณะที่ฝั่งของสุเทพ จากเดิมเมื่อก่อนอาจจะมีกลุ่มดาราศิลปินนักคิดที่มีอิทธิพลทางความคิด แต่ตอนนี้อาจจะไม่มี แต่ผมเชื่อว่าจุดหมายปลายทางก็จะยังสนับสนุน คสช. เพียงแค่อาจจะเดินคนละทิศทางกับพรรคของคุณสมคิดและหาเสียงกันคนละแบบ”

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า “ผมไม่อยากจะไปวิจารณ์เขา เพราะว่าเขาก็พยายามที่จะประกาศว่าไม่สนับสนุนหรือไม่เอาคนนอก แต่อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นว่า “ทุกคนไม่ควรเชื่อนักการเมืองมาก” ทุกคนรู้ดีว่าวันนี้ถ้าคุยกันเรื่องตัวเลข พรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นอันดับ 1 และรวมกัน 2 พรรคกับประชาธิปัตย์ ก็จะตัวเลข 300 ผมมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการสกัดกั้นยังไงก็แล้วแต่”

“สิ่งที่เราได้ยินจากผู้มีอำนาจพยายามจะบอกว่า ไม่อยากเป็น ไม่อยากอยู่ในอำนาจต่อ ผมถามว่าถ้าไม่อยากเป็นทำไมอยู่มาได้ถึง 4 ปี คุณต้องไปตั้งแต่แรกแล้ว เพราะคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณทำไม่สำเร็จ ขนาดแก้ปัญหาล็อตเตอรี่ยังไม่สำเร็จเลย นี่ยังเจอเรื่องอาหารกลางวันเด็ก นมโรงเรียน ทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมเป็นคุณประยุทธ์ ผมจะเปลี่ยนคณะทำงานทั้งชุด ผมจะนำเอาพลเรือนเข้ามาบริหาร ตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ให้ดูเลย แล้วประชาชนน่าจะตอบรับ จากนั้นเอาคณะทำงานชุดนี้ไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า”

“แต่ว่าคำถามคือทหารจะยอมหรือไม่ ผมมองว่าถ้า คสช. อยากมีความเป็นต่อทางการเมือง ต้องเปลี่ยนยกชุด”

รศ.อัษฎางค์กล่าวอีกว่า “อีกประการหนึ่งคือไพ่ในมือที่มีไว้ สำหรับกรณีของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอนาคตใหม่ กรณีทำผิดเงื่อนไขหรืออะไรก็ตาม ผมมองว่าเขาเอาแน่ ถ้าเขาจนตรอก เขาจะเล่นงานทั้งสองพรรคนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่าแม้ว่าคุณจะล้มพรรคใดพรรคหนึ่งได้แต่เขาก็จะตั้งพรรคใหม่ หรือไปอาศัยพรรคอื่น และประชาชนก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร คนในแถบอีสานทั้งหมดไม่รู้ว่าใครคือตัวขอเขา แม้วันนี้การเล่นงานเรื่องสุดซอยยังไม่เสร็จนักการเมืองที่ไปเซ็น เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยอาจจะโดนหมดก็ได้ แต่เขายังมีลูกเต้าน้องชายคนในครอบครัว คนในพื้นที่จะรู้ดีว่าใครคือทายาทของใคร คุณจะตีเขาไม่ได้ง่ายๆ เว้นแต่เขายอมให้ตี ที่สำคัญวันนี้ภาคเหนือกับอีสานก็ยังชัดเจนว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยแน่นปึ้ก”

“ผมเลยอยากจะถามจริงๆ เถอะครับ ว่านักวิชาการของ คสช. ไม่เคยทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนหรือว่า “ตัวเองมีความนิยมแท้ๆ เท่าไหร่” ซึ่งผมรู้ว่าทำมาแล้ว ว่าเลือกตั้งเขาจะได้เท่าไร เขาทำออกมาแล้ว รู้อยู่แก่ใจแล้ว เขาถึงได้เที่ยววิ่งให้เหนื่อยอยู่อย่างที่เห็นในวันนี้เพราะว่าจะต้องหาเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนเปิดช่องเอาไว้ให้พวกคุณเป็น!”