พรรครวมพลังประชาชาติไทย : ภารกิจเดิมพันของ “เอนก” กับ นัยยะแห่งน้ำตา “กำนันสุเทพ”

จรัญ พงษ์จีน

ไม่พูดถึงไม่ได้…การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการของพรรค “รวมพลังประชาชาติไทย” (รปช.) ที่อาคารศาลาดนตรีสุริยเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อสายๆ วันที่ 3 มิถุนายน ซึ่งแกนนำผู้ก่อตั้งเดินทางมาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

อาทิ “เชน เทือกสุบรรณ-ธานี เทือกสุบรรณ” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ จ.สุราษฎร์ธานี “ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง” ทนายความ “ธวัชชัย อนามพงษ์” อดีต ส.ส.จันทบุรี “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล-ประสาร มฤคพิทักษ์-สำราญ รอดเพชร” เป็นต้น

เทหมดหน้าตักเลยงวดนี้ คือ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และว่าที่หัวหน้าพรรค รปช. ขนมายกครอบครัว มาครบครันทั้งภรรยา ลูก และหลาน

พลาดไม่ได้ เป็นไฮไลต์ “พระเอก” ของงานอยู่ที่หนุ่มใหญ่ ผิวสี ที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส.-ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่ขึ้นไป “ทำเนียน” บนเวที บีบแป๊บเดียว น้ำตาไหลง่ายจมหู

จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ปัญหาทางเทคนิค ลูกเล่น กลอนพาไป หรือเพราะอะไรก็ตาม แต่ทำเอาผู้ชมผู้ฟังพากันอ้าปากหวอ “อึ้ง” ในความสามารถ

หากสะท้อนผ่านจอหนังไทย ต้องกวาดตุ๊กตาทอง เบิ้ลด้วยเมขลา

ผู้ชายแบบนี้ ใครมีลูกสาวก็อยากยกให้ ไม่ต้องสู่ขอ…เสียดายที่แก่เกิน และมีเมียแล้ว

“ลุงกำนัน” เกริ่นนำร่อง ทั้งน้ำตา เสียงสะอึกสะอื้น น่าเอ็นดู ระบุถึงที่ไปที่มาของการร่วมก่อตั้งพรรค “รวมพลังประชาชาติไทย” ว่า ได้ใช้เวลาครุ่นคิดพูดคุยกับผู้คนเป็นเวลาสี่ปี ฟังความคิดและศึกษาการตัดสินใจของคนเหล่านั้น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าเป็นพรรคของ กปปส. เป็นพรรคของลุงกำนัน นักการเมืองหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ปรามาสว่าพรรคอย่างนี้โตไม่ได้

“ผมระวังตัวมาก เพราะประกาศชัดเจนว่าจะไม่เป็นนักการเมือง ไม่เป็น ส.ส. ไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว แต่เมื่อพี่น้องร่วมอุดมการณ์บอกว่าต้องตั้งพรรคการเมืองของประชาชน ก็รู้ว่าต้องเข้าร่วมพรรคนี้ และรู้ว่าจะเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีว่าตระบัดสัตย์ ไหนเคยพูดว่าไม่ยุ่งการเมือง ผมจึงขอประกาศว่า ไม่ใช่คนอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองนี้ แต่ผมจะขอยืนเคียงข้างกับพี่น้องประชาชนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน และไม่สนใจเสียงวิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น”

จะพูดจะจา สาบานยังไงก็ได้ “พระไม่ว่า” ช่วงนี้ศาสนจักรกำลังอลเวง “พระสงฆ์” ผู้ปฏิบัติหลักธรรมคำสอนแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ถูก “จับสึก” กันเป็นว่าเล่น บางรูปเผ่นไปเจริญพรคุณโยมอยู่ต่างประเทศ

ตามโปรแกรม “รวมพลังประชาชาติไทย” จะเลือกกรรมการบริหารพรรค ใช้รูปแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในเดือนกันยายน ต้องรอให้สมาชิกพรรคครบทุกจังหวัดก่อน และจะเลือกหัวหน้าพรรคกับเลขาฯ พรรค 2 ชุด ทำหน้าที่ 2 ปี แต่ยังไม่ถึงขึ้นเปิดตัว “ว่าที่นายกรัฐมนตรี”

กำหนดการจัดเก็บค่าสมาชิกรายปีอยู่ที่ 365 บาท ตลอดชีวิต 3,650 บาท สามารถสมัครและจ่ายเงินผ่านออนไลน์ได้ โดยเบื้องต้นมีการคาดหวังว่าจะได้สมาชิกประมาณ 120,000 คน

ระหว่างนี้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 5 ด้านทำงานไปพลางๆ ก่อน ประกอบด้วย 1.คณะทำงานเตรียมการประชุมสมัชชาพรรค วางตัว “จักษ์ พันธุ์ชูเพชร” รับผิดชอบ 2.คณะยกร่างข้อบังคับพรรค วินัยและมาตรฐานจริยธรรม “ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง” รับผิดชอบ 3.ยกร่างนโยบายพรรคและโรงเรียนการเมืองพรรค “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รับผิดชอบ 4.คณะเตรียมการจัดตั้งสโมสรผู้นำเยาวชนพรรค “เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์” รับผิดชอบ 5.คณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมเป็นผู้ก่อตั้งและสมาชิกพรรค ต้องใช้ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นนางกวักรับผิดชอบ

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขั้นตอนจัดตั้งพรรค กรรมการบริหารพรรค ยังไม่เรียบร้อยบริบูรณ์ แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า พรรค รปช. “เจ้าของ” คือ “กำนันสุเทพ” มอบภารกิจให้ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ดำรงตำแหน่งเป็น “หัวหน้าพรรค”

ซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่า “มีความเหมือนกัน” อยู่หลายด้าน หลายประการกับ “พรรคมหาชน” ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ.2547

“เหมือนเลย” คือหัวหน้าพรรค เป็นบุคคลคนเดียวกัน คือ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์”

“พรรคมหาชน” เจ้าของตัวจริงคือ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ขณะที่ “รวมพลังประชาชาติไทย” เจ้าของชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”

ทั้ง “เสธ.หนั่น” และ “กำนันสุเทพ” เป็นอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์มาด้วยกันทั้งคู่

“พรรคมหาชน” ตั้งขึ้นมาเป็น “ทางเลือกที่ 3” ชิงพื้นที่จากไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ นำเสนอนโยบายสุดกิ๊บเก๋ใช้ชื่อ “สองนคราประชาธิปไตย”

ประเดิมส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเต็มพื้นที่สมัยแรก เมื่อ พ.ศ.2548 แต่กลับได้รับเลือกมี ส.ส. เข้าสภาหินอ่อนได้เพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น แม้กระทั่งเขตจังหวัดพิจิตร ถ้ำชาละวันของ “เสธ.หนั่น” แท้ๆ

“นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” ลูกเลิฟ ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ในศึกเลือกตั้งคราวนั้น “พรรคมหาชน” ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงของ “ระบบบัญชีรายชื่อ” ได้ไม่ถึงร้อยละ 5 จึงไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

ส.ส.เขตเลือกตั้งได้รับเลือกเพียง 2 คน คือ “นายตุ่น จินตเวช” จากจังหวัดอุบลราชธานี กับ “นางทัศนียา รัตนเศรษฐ์” แห่งจังหวัดนครราชสีมา

จึง “เป็นเรื่อง” 2 ส.ส.พรรคมหาชน ดำเนินการทางการเมืองอย่างอิสระ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมพรรค ที่แสบริดสีดวงมากเป็นไหนๆ คือ 2 ส.ส. หันไปให้การสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลซะงั้น

พรรคได้แต่นั่งดูตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เพราะตามระเบียบข้อบังคับพรรคระบุว่า “การประชุมพรรคเพื่อขับสมาชิกออกจากพรรค ต้องมี ส.ส. ร่วมอยู่ด้วย” เลยติดล็อกตัวเอง

ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรค และ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ต้องลาออก

นั่นมันเรื่องราวในอดีต ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว การเมืองไทยเปลี่ยนไป ประเทศก้าวเข้าสู่สังคมดิจิตอล ยุคสมัยสมาร์ตโฟน กำลังจะไป “โลกอังคาร”

“รวมพลังประชาชาติไทย” โชคชะตาคงต่างกันไกลกับ “มหาชน”

มีข่าวว่าพรรค “กำนันสไตล์” ตั้งเป้าไว้สูงมิใช่น้อย จะกวาดที่นั่ง ส.ส. สองระบบ ได้ถึง 50-60 เสียง