วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ วันคืนที่ล่วงไป

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

วันคืนที่ล่วงไป

 

ทั้งคู่นิ่งอยู่พักใหญ่ เสียงหมาวิ่งไล่กวดตัวอะไรหลังกุฏิ พร้อมกับเสียงขู่ของมัน พระมหาสวัสดิ์ขยับตัวเอื้อมมือหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ส่วนที่เรียกว่าจิตนี้เป็นนามธรรม คือสิ่งที่รู้ หรือผู้รู้ คนเรามีร่างกายเป็นรูปธรรม มีจิตเป็นนามธรรม เมื่อแรกเกิด สภาวะของจิตยังบริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะกิเลส แต่หลังจากเติบโตขึ้น เราไม่เคยสนใจในจิต ปล่อยให้ล่องลอยไปกับกิเลสที่เกิดขึ้นรอบด้าน เมื่อจิตได้รับสิ่งที่เรียกว่ากิเลสตัณหามาเรื่อยจะเคยชิน เช่นเดียวกับน้ำซึ่งย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด จิตก็เช่นเดียวกัน ย่อมจะยินดีกับกิเลสตัณหา” พระมหาสวัสดิ์ขยายความ

“เมื่อเราเริ่มจะนำจิตกลับไปสู่ความสงบบริสุทธิ์อย่างเดิม จึงทำไม่ได้ง่ายนัก จิตจะดิ้นรนกระวนกระวาย… ดังนั้น เราจะให้จิตของเราซึ่งปล่อยละเลยมานานแสนนานกลับเข้าสู่ความสงบเห็นจะเป็นเรื่องยาก ต้องค่อยทำค่อยไป อย่าหักโหม” พระมหาสวัสด์กล่าวเตือนสติเมื่อเห็นพระปานครุ่นคิดขณะตั้งใจฟัง

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง อากาศเริ่มเย็นลงจนหนาวเมื่อลมกระโชกผ่าน

“เอา… ไปนอนกันเสียที ผมชักง่วงแล้ว” พระมหาสวัสดิ์ขยับตัวลุกขึ้นอ้าปากหาว ขณะพระปานยังไม่รู้สึกง่วง รับคำ ครับ-ครับ แล้วลุกขึ้นบ้าง “เดี๋ยวผมจะเดินไปทางหน้าโบสถ์หน่อยหนึ่ง”

“มีอะไรรึ” พระมหาสวัสดิ์เอ่ยถาม

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ไปเดินเล่นรับลม”

“หนาวจะตาย ยังไปรับลม” พระมหาสวัสดิ์พูดเหมือนค่อน แล้วเดินกลับกุฏิ

 

พระปานออกเดินเรื่อยเฉื่อย ไม่ช้าไม่เร็ว ลมหนาวพัดผ่านมาเป็นพักๆ เมื่อเดินมาได้สักครึ่งทาง พระปานเปลี่ยนความคิดเดินกลับกุฏิ ทันเห็นไฟห้องพระมหาสวัสดิ์ดับ ส่วนกุฏิอื่นดับไฟนอนกันหมดแล้ว

เข้ากุฏิ ปิดประตู จุดธูปเทียนสวดมนต์ ปูเสื่อ กางมุ้ง มองไปรอบๆ ห้อง เอื้อมมือดับไฟดวงใหญ่ เหลือไฟดวงเล็กแรงต่ำไว้พอให้มีแสงสว่าง นั่งลงขัดสมาธิ ตั้งใจให้ธูปหมดดอก จึงจะลุกขึ้นจากสมาธิไปดับ

พระปานพยายามนึกถึงอสุภกรรมฐานตามที่พระมหาสวัสดิ์แนะนำ แต่ยิ่งนึกในสิ่งที่น่าเกลียด กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในชั่วขณะหนึ่งนั้น รูปร่างอันเย้ายวนใจของจงจิตกลับแวบขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด พระปานสะท้านวูบในทรวงอก เขาถอนหายใจเฮือกแล้วรีบสลัดภาพในความคิดนั้นทิ้ง

คงไม่สำเร็จ พระปานคิด พยายามกำหนดลมหายใจอย่างเคยปฏิบัติจนจิตเริ่มกลับเข้าสู่สภาพเดิม คือไม่คิดถึงอะไรอื่น นอกจากลมหายใจ เป็นอย่างนั้นเกือบยี่สิบนาที เสียงยามเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลาห้าทุ่ม ลืมตาขึ้นมองเทียนเห็นเหลือน้อย ธูปคงดับไปนานแล้ว จึงออกจากมุ้งไปดับเทียน

แล้วกลับเข้ามุ้งล้มตัวลงนอน

 

อีกสองวันถึงวันขึ้นปีใหม่ เณรพจน์เดินสอบถามพระเณรแต่ละคณะว่าใครจะไปรับบิณฑบาตที่สำนักงานใหญ่ธนาคารออมสิน สะพานควาย ทางธนาคารแจ้งความจำนงมานิมนต์ มีรถรับส่ง

พระปานบอกเณรพจน์ใส่ชื่อพระปานกับพระสุชัยไปด้วย หลังนัดแนะกับพระสุชัยเรียบร้อยแล้ว

“ออกไปรับบาตรอย่างนี้ รับไม่หวาดไม่ไหว พ้นปีใหม่ไปสองสัปดาห์ถึงวันครู มีให้ไปรับที่คุรุสภาอีกแห่งหนึ่ง” พระสุชัยบอกให้พระปานทราบ

เย็นวันที่ 31 ธันวาคม การทำวัตรเย็นมีสวดมนต์กรณีพิเศษ เป็นการสวดไล่ราหู ท่านเจ้าคุณใหญ่สั่งให้พระเณรลงโบสถ์พร้อมกันทุกรูป เช่นเดียวกับเช้าวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ เที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ให้เด็กวัดย่ำกลองด้วย

บรรยากาศรอบบริเวณวัดคงสนุกสนานอย่างเคย อาจกร่อยกว่าปกติบ้าง กระนั้น รัฐบาลประกาศยกเลิก “เคอร์ฟิว” ห้ามออกนอกบ้านหลังเที่ยงคืนเป็นของขวัญปีใหม่ 1 วัน ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาเจ้าของสถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร รวมทั้งนักเที่ยวทั้งหลาย ยิ่งหยุดติดต่อกันหลายวัน การออกไปเที่ยวต่างจังหวัดจึงมีมากเป็นพิเศษ ขณะที่อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นมากเป็นเงาตามตัว

พระปานคิดถึงปีใหม่ปีก่อนๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าดื่มเหล้าตามบ้านเพื่อนฝูง แล้วเมาข้ามวันข้ามคืนสองคืน ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นในระยะสองสามปีหลังมานี้ พระปานคิดถึงเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น สนามหลวงเป็นที่เที่ยวคืนยันรุ่ง เดินรอบสนามหลวงจนเท้าระบม ก็แปลก ไม่รู้ว่าเดินไปกับเขาได้อย่างไร-ความสนุกนี่ทำให้คนลืมตัวได้ไม่เลว

จงจิตคงลงมากรุงเทพฯ แล้ว น่าจะยังไม่มีเวลามาหา คงจะยุ่งกับการไปเยี่ยมคนโน้นคนนี้

ส่วนตัวเอง ความเป็นพระทำให้รู้สึกเฉยๆ เหมือนวันธรรมดาทั่วไป บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างเงียบเหงาด้วยซ้ำ ที่เมรุหยุดไม่มีการสวดหรือฌาปนกิจ คงให้คนงานมีเวลาไปเที่ยวเตร่พักผ่อนบ้าง

พระสุชัยนัดเด็กในคณะสองสามคนสำหรับไปหิ้วถังใส่อาหารบิณฑบาตพรุ่งนี้ “คนละสองถัง” พระสุชัยบอกกับพระปานเย็นนั้น

 

เมื่อกลางคืนเริ่มย่างเข้ามา สรรพเสียงอันหมายถึงความรื่นเริงรอบนอกกำแพงวัดเริ่มขึ้น ชาวบ้านต่างสนุกสนานกับการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตามถนนเริ่มมีเสียงฉาบฉิ่งดังระงม สลับกับเสียงฮาเฮเป็นระยะไม่ขาดสาย ห้วงเวลานั้น พระปานเลือกดูรายการโทรทัศน์ห้องพระมหาสวัสดิ์ ด้วยจะได้คุยหรือวิพากษ์วิจารณ์ตามถนัดปาก รายการโทรทัศน์คืนนั้นเป็นรายการพิเศษอย่างเคย มีไปจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน ฉลองปีใหม่ แต่พระปานไม่ได้ดูจนเลิก ด้วยพระมหาสวัสดิ์ง่วงเมื่อเวลาล่วงถึงห้าทุ่ม

“พรุ่งนี้ต้องไปบิณฑบาตที่ธนาคารออมสิน” พระปานเปรยขณะลุกกลับออกมา

“อ้อ เหรอ” พระมหาสวัสดิ์เอยปากรับรู้ “ผมมันเบื่อไปเสียแล้ว เมื่อก่อนละก็ไม่เคยขาดรายการอย่างนี้… เอาถังไปสักสองลูกนะ”

“ครับ ท่านสุชัยสั่งเด็กไว้แล้ว” พระปานบอกแล้วกลับมาที่ห้อง

เพิ่งจะห้าทุ่ม เสียงรอบนอกวัดยังดังเป็นระยะ ทั้งฉาบทั้งฉิ่ง บางทีมีเสียงขวดกระทบพื้นถนนแตก พระปานคิดถึงพระครูพรหมที่บ่นให้ฟังบางเช้าหลังกลับจากบิณฑบาตว่า ไม่ชอบพวกขี้เมาที่เมาเหล้าแล้วขว้างขวดขว้างแก้วแตกข้างถนน เพราะเดินเหยียบอยู่เรื่อย บางทีไอ้ที่คายของเก่าเหม็นคลุ้งไปหมด พรุ่งนี้เช้าพระครูคงเจอมากกว่าปกติแน่

จันทร์ลอยดวงเกือบกึ่งกลางฟ้า เมฆบางเบาลอยล้อบังจันทร์เป็นพักๆ ความเงียบเริ่มครอบคลุมในวัดเช่นทุกคืน เว้นเสียงจากข้างนอก ภายในวัดแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

วันส่งท้ายปีเก่าเหมือนวันคืนที่ล่วงไป