มนัส สัตยารักษ์ : คนหัวร้อน

พลันที่ตื่นขึ้นมาพบข่าวบริษัทต้นสังกัดสั่งระงับการจ้าง “ครอบครัวหัวร้อน” ผมรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันมงคลของสังคมไทยเสียจริง ๆ เพราะพวกเขาทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัว คนพันธ์นี้ไม่ควรจะมีที่ยืนในสังคม

“ครอบครัวหัวร้อน” เป็นฉายานามที่สังคมมอบให้แก่ครอบครัวที่รุมตะโกนกระหน่ำด่าตำรวจ สภ.มาบตาพุด อ.เมือง ระยอง ด้วยถ้อยคำหยาบคายประกอบการแสดงหน้าตาท่าทางข่มขู่ และหนึ่งในในนั้นชกเบ้าตานายตำรวจ ยศ ร.ต.อ. ที่เข้ามาชี้แจงถึงการออกใบสั่ง “จอดรถในที่ห้ามจอด”

เหตุที่ผมถือว่าเป็นข่าวมงคล แม้ว่าบริษัทต้นสังกัดจะสั่งระงับการจ้างครอบครัวนี้ เพียงชั่วคราวก็ตาม แต่ก็เท่ากับได้ป้องกันมิให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีกอย่างน้อยก็หนึ่งสัปดาห์ หากมีขึ้นอีกหนผมไม่แน่ใจว่าตำรวจจะมีความอดกลั้นต่อกริยาเลวทรามต่ำช้าของ “คนหัวร้อน” ได้อย่างตำรวจมาบตาพุดหรือเปล่า

แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเยาวชนหรือคนกลุ่มอื่นจะพลอยเห็นดีเห็นงามกับความคิดและกริยาเลวทรามต่ำช้าแบบนี้ด้วยหรือไม่

นาน ๆ จะได้เห็นชาวบ้านเป็นพยานให้ตำรวจ ให้กำลังใจตำรวจและ เชียร์ตำรวจสู้ สู้ สู้กับครอบครัวหัวร้อนที่ด่าทอและทำร้าย แล้วยังแจ้งความกล่าวหาตำรวจเป็นการแก้เกี้ยวอีกต่างหาก นานทีปีหนจะได้เห็นโลกออนไลน์โพสต์ภาพและข้อความเห็นใจตำรวจ

ในฐานะคนรักสถาบันตำรวจ ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะประธานร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่ประกาศจะปฏิรูปตำรวจให้เห็นเป็นรูปธรรม ถ่ายโอน “งานจราจร” ให้แก่ท้องถิ่น…สาธุ

ขอให้บรรลุผลสำเร็จทำนองเดียวกับที่ถ่ายโอนงาน “จับหาบเร่” ให้เทศกิจนั่นแหละ ขออย่าให้ตำรวจต้องมาทำงานเสี่ยงภัยกับคนพันธ์นี้เลย

มีคนในเฟซบุ๊กให้ข้อสังเกตว่า “ครอบครัวหัวร้อน” กลุ่มนี้น่าจะไม่เพียงแต่หัวร้อนเอากับตำรวจที่ “ต้นทุนต่ำ” และไม่มีทางสู้เท่านั้น แต่พวกเขาจะรังควาญเอากับใครก็ได้ที่ไม่มีทางสู้เช่นกัน เพราะพฤติกรรมของพวกเขาดูเหมือนไม่แยแสต่อกฏหมายและกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคมแม้แต่น้อย เขาเป็นคนพันธ์หัวหมอที่พร้อมจะหัวร้อนเอากับทุกคน

พวกเขาอาจจะทำเป็นปกติหรือทำเป็นอาชีพ ซึ่งนับเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง

ชาวเน็ตได้เผยแพร่คลิปและภาพที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของของครอบครัวนี้แสดงไปหลายมุมเมือง เท่าที่ผมตรวจนับและจำได้ก็ประมาณ 4 หรือ 5 แห่ง ต่างกรรมต่างวาระและต่างตำบลกัน

อย่างไรก็ตาม เป็นข้อเท็จจริงที่มาจากเน็ต จึงควรใช้วิจารณญานในการรับฟัง…

…ทะเลาะโต้เถียงกันกรณีจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น

ขับรถปาดหน้าและวิวาทกันกลางถนน และเมื่อเจ้าหน้าที่มาระงับเหตุก็ถูกด่าทอ

กล่าวหาผู้อื่นขับรถเหยียบเท้าในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแล้วขู่กรรโชกให้ขอโทษ เป็นต้น

ชกนายตำรวจกลางถนนหน้าตลาดยังทำได้ นับประสาอะไรกับชาวบ้านมือเปล่า

ภัยอันตรายรุนแรงและแพร่กระจายก่อนกรณีมาบตาพุด ทั้งสิ้น ผมจึงเชื่อว่ากรณีครอบครัวหัวร้อนน่าจะเป็นซีรี่ย์หลายตอนจบ พอๆ กับเรื่อง “หวยอลเวง” นั่นแหละ เพราะคนในครอบครัวนี้ท่าทีหัวหมอและดื้อด้านกว่าตัวบละครในเรื่องหวยอลเวง มิหนำซ้ำตัวแม่ของครอบครัวซึ่งมีมือถือเป็นอาวุธยังคุยข่มว่าตัวเองจบนิติศาสตร์จากธรรมศาสตร์เสียด้วย

แม้ต่อมาจะยอมรับว่าไม่ได้จบมาจริง แต่ก็ยังยืนยันว่าได้ศึกษากฎหมายด้วย ตัวเองจน มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นคนหัวหมอกับตำรวจได้

อันที่จริงผมเคยรู้สึกท้อแท้ ไม่เข้าใจกับบางความคิดของสังคมมาก่อนหน้านี้แล้ว จากกรณี นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก “ล่าเสือดำ” ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร กาญจนบุรี เมื่อตำรวจเรียกนายวิเชียร ชิณวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าฯผู้จับกุม ไปสอบสวน ก็ถูกชาวเน็ตกระหน่ำประณามตำรวจเสียไม่มีดี

คดีนี้พอถึงชั้นอัยการ ทางอัยการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม ชาวเน็ตก็พากันตีความ “สั่งสอบสวนเพิ่มเติม” เป็น “พนักงานสอบสวนบกพร่อง เจตนาเปิดช่องโหว่เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา” ต่อมามีสื่อบางส่วนพยายามเน้นไปว่าเป็น “ความเลวทรามของตำรวจ”

ส่วนพวกที่ “คิดลบ” อคติกับอัยการก็อาจจะมองว่า อัยการเจตนาจะเปลี่ยนข้อเท็จจริงบางประเด็น และผู้คนบางกลุ่มก็อาจจะมองไกลจนหลุดออกนอกเฟรมไปเป็นพนักงานสอบสวนกับอัยการขัดแย้งกัน

ผมพยายามคิดว่าผู้คนที่จิตใจเป็นธรรมและไม่มีอคติส่วนใหญ่คงจะเข้าใจดีว่าการสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเรื่องปกติของการรวบรวมพยานหลักฐาน น่าจะเป็นเพียงส่วนน้อยที่หลงประณามพนักงานสอบสวนหรืออัยการ

แต่ขณะเดียวกันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ความคิดติดลบเหล่านี้อาจจะครอบงำความเชื่อของประชาชนผู้เสพข่าวเพียงด้านเดียว

เสียงบ่น “เบื่อ” ค่อนข้างดังแทรกขึ้นมาจากหน้าจอทีวี

ผมเงยหน้าขึ้นจากจอ iPad มองไปทางที่มาของเสียง…ในทีวีมีภาพจากข่าวเดียวกับในไอแพดของผม…เป็นเรื่องของคนพันธ์หัวร้อน “ตำรวจฉะอดีตตำรวจ” ในประเด็นสินค้าที่ตลาดดอนเมืองไม่ผ่าน อ.ย.และทำให้คนตายไป 4 คน บานปลายไปเป็นปัญหามาเพียคุมตลาด

คนหน้าจอทีวีกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ แต่หนีไม่พ้นภาพคนพันธ์หัวร้อน ปฏิบัติการเฉียบขาดของตำรวจปะทะกับอดีตตำรวจโอเว่อร์แอ็ค บรรยากาศหน้าจอทีวีช่างเหมือนเมื่อครั้งที่เราเจอแต่ข่าว “หวยอลเวง” อย่างไรอย่างนั้น มันเป็นเรื่องบันเทิงชนิดหนึ่งที่ “ขายได้”

ผู้เสพข่าวบางคนอาจจะเบื่อกับภาพปฏิบัติการของตำรวจก็จริง แต่ถ้าได้ย้อนกลับไปดูตอนที่ “อดีตตำรวจฉะนายพลตำรวจ” กลางตลาดดอนเมือง ก็อาจจะบันเทิงกับแอ็คชั่นที่โอเว่อร์ของฝ่ายหนึ่งกับปฏิบัติการที่เฉียบขาดของอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องนี้ก็ได้

อาจจะมีตอนที่อดีตตำรวจกับพวกอีกกว่าสิบคนถูกกล่าวหาว่าเป็นมาเฟียเรียกเก็บค่าคุ้มครองตลาดและแสดงการแก้เผ็ดตามที่กล่าวอาฆาตไว้เป็นซีรี่ตอนต่อไปก็ได้

ที่แน่นอนก็คือ ตอนต่อไปฝ่ายบิ๊กตำรวจ “จัดหนัก” ลามไปกล่าวหาถึงบิดา ยศ พ.ต.อ. ของฝ่ายอดีตตำรวจอีกด้วย

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราบ้าจี้ยุบเลิกตำรวจเสียตามกระแส “ปฏิรูปตำรวจ” หลังรัฐประหารใหม่ ๆ บ้านเมืองก็คงวิกฤติไปทุกหย่อมหญ้า

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง…ในกล่องหรือจอ 4 เหลี่ยมก็คงเงียบเหงา ในชั่วโมงข่าวของทีวีก็จะมีแต่คลิปโฆษณาสินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่ผ่าน อ.ย. สลับกับภาพใบหน้าบอกอารมณ์หงุดหงิดตลอดกาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

อย่าพิ่งเบื่อความบันเทิงยุคใหม่กันเลยครับ.