ทวีปที่สาบสูญ : วันหนึ่งวันใด โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน…ฉันยินคำกล่าว
แต่ละเรื่องราวตกหล่นร่วงราย

“เป็นยังไงบ้างวันนี้”

พร้อมเสียงฝีเท้าเดินขึ้นเรือนมา ก็เหมือนทุกวัน เป็นคำร้องทักของผู้หญิงผมสั้นร่างใหญ่ ใบหน้าฉาบรอยยิ้มอยู่นิจสิน

ช่างน่าประหลาดแท้ เมื่อแรกปะหน้า ฉันรู้สึกว่า “อามิน” คงเป็นคนดุๆ เพราะดูพูดน้อย เคร่งขรึม ตรงกันข้ามกับ “ยายปิน” ที่สง่างามสมวัย ยิ้มแย้มใจดี

กลับไม่ใช่…เพราะตั้งแต่อยู่ในบ้านสวนนี้มา ยามยินเสียงดุด่าลูกจ้างคนงาน ล้วนแต่เป็นเสียงยายปันทั้งสิ้น ส่วนอามินนั้นมีแต่คอยห้ามทัพบ้าง กระเซ้าเย้าแหย่คนนั้นคนนี้บ้าง บางทีมีเสียงตะโกนเหมือนด่า กลายว่าแค่หยอกเล่นอำกัน

“วันนี้แดดร้อนมากจริงๆ” พูดแล้วปาดแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ลงนั่งพิงฝา

ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ยังเจ็บอยู่แปล๊บๆ ในส่วนที่ช้ำระบม แต่ก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไหน หน้าตาดูดีขึ้นนี่” พลางเพ่งตาดูฉัน “ผมใกล้ขึ้นแล้วด้วย”

อดยกมือขึ้นลูบหัวไม่ได้…สัมผัสแรก ผมส่วนหนึ่งถูกโกนขูดออกไป แต่อีกส่วนยังยาวไล่ลงมาเกือบระต้นคอ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าคงจะอัปลักษณ์สิ้นดี

“วันนี้น่าจะสระผมได้แล้วนะ” อามินว่าอีก “ซักแห้งมาหลายวัน”

ในช่วงที่ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ เจ้าบ้านทั้งสองก็เอาใจใส่แม้แต่การตักน้ำใส่คุมาไว้นอกชาน สั่งให้คนงานช่วยเช็ดหลังเช็ดหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

นอกจากยายกับพ่อแม่แล้ว ยังไม่เคยมีใครดีกับฉันเท่านี้มาก่อน

“เจ็บตรงไหนอีกบ้าง”

“…ไม่ค่อยแล้วค่ะ” ฉันตอบเท่าที่ควรพูดไป

“ดีแล้ว” หน้าคล้ำเข้มยิ้มเห็นฟันขาว “อีกวันสองวันก็ลงไปเล่นข้างล่างได้ละ”

เหมือนมีของสักสิ่งทิ่มเข้าเบาๆ ในหัวอก พวกเขาดีกับฉันทำไม พูดจาเหมือนเป็นลูกหลาน ไม่ใช่คนซมซานพเนจรหมอนหมิ่น แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปตอบแทนได้

“อ้าว เป็นอะไรอีกแล้ว…” อามินเสียงดังขึ้น ซึ่งฉันได้ยินแบบนี้ทุกวัน “ขี้แยอีกแล้วนะ…ร้องไห้ทำไม”

นั่นก็เพราะฉันยังมีน้ำตาอยู่อีกทุกวัน เหมือนทุกๆ วัน มีบึงน้ำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นข้างใน ขยายออกไปเรื่อยๆ จนน้ำปริ่มขอบบ่อเข้าทุกที

และเพียงมีสายลมกระทบเบาๆ ก็พร้อมกระเพื่อมสั่นไหว

“ไม่เอาน่า…อีหนู”

อามินเรียกฉันด้วยคำใหม่ ฟังไม่คุ้น แต่ก็ให้ความรู้สึกแปลกไปกว่าเคย ทันใดร่างใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามา ดึงฉันไปกอดเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอกนะ พ้นมันมาแล้ว อยู่ที่นี่ไม่มีใครจะทำร้ายหนูได้อีก”

เหมือนจะหายใจไม่ออกอีก จมูกฉันคัดแน่น บึงน้ำยิ่งขยายกว้างออกอีกเรื่อยๆ พยายามสุดความสามารถจะกลั้นเอาไว้

สุดท้าย ฉันก็สะอื้นฮักๆ อยู่กับอกกว้าง

“ร้องไห้อีกแล้ว”

อีกเสียงดังข้ามไหล่มา อามินรีบคลายวงแขนออก เหลียวไปบอกกับผู้หญิงเกล้าผมมวย

“เหมือนเดิม ตื่นมาก็บรรเลงเลย”

“…หนู” นางปันยอบตัวลงมาใกล้ๆ อีกคนหนึ่ง ยื่นมือมาลูบหัวฉัน “หยุดไห้เหียเต๊อะ ฮ้องไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อยู่กับพี่กับอาแล้ว ปลอดภัยแล้วนะ”

“…อ้าว จะให้เด็กมันเรียกพี่เลยหรือ” อามินสอดขึ้น

“…ก็ต้องพี่สิ” นางปันตอบ “ปล่อยให้หนูรินเรียกยายคนเดียวก็พอแล้ว แค่นี้ก็ฟังแก่เต็มที”

“พี่ได้ยังไง อย่างน้อยๆ ต้องป้าหรือแม่ละมั้ง” อามินยังไม่ลดละ

“ว่าปันแก่หรือ?” นางปันขึ้นเสียง

อามินหัวเราะลั่น ฟังดูเหมือนการโต้วาทีกันสองคน…หากเป็นคนอื่นคงจะขบขันกับการโต้เถียง แต่ตัวฉันยังคงเป็นตัวฉัน

ฉันผู้มีเพียงน้ำตา

“ยังไม่หยุดร้องอีก ดูสิ” เสียงอามินพูดขึ้นอีกเบาๆ

“มานี่มา” อีกมือยื่นมาหา

อามินคลายแขน แล้วนางปันก็ดึงฉันเข้าไปกอดแทนที่ หนนี้ ถูกกดหน้าจนแทบซุกเข้าไปในอกอวบ มือหนึ่งลูบตบหัว อีกมือลูบหลังแผ่ว

“ขวัญเอ๋ยขวัญมา อย่ากลัวอย่าไห้อีกเลย อยู่กับพี่กับอาแล้ว บ่มีไผมาเยียะหยังได้”

นางปันมักพูดคำพื้นถิ่นกับฉัน คำพูดฟังนวลรื่นหู แต่ยามด่า ก็ได้ยินอยู่ว่าปากเจ็บปากไหม้ ตัวตนแท้ของพวกเขาเป็นอย่างไร

ฉันจะยังไว้ใจใครได้อีกบ้าง

“เอ หรือว่าจะตัดผมด้วย” อามินดึงผมฉันปอยหนึ่ง

“ก็ดีนะ” นางปันว่า ผลักฉันออกห่างตัวเล็กน้อย มองอย่างพิจารณา “หน้าหมดตาใสไม่ใช่น้อย โกนหัวเสียให้ผมขึ้นใหม่ เดี๋ยวก็ได้ปิ๊กมางามอย่างเก่า”

ได้ยินคำว่าโกนหัว ตัวฉันก็เกร็งขึ้นในทันที

…ยังเป็นสิ่งที่ฝังใจอยู่ตลอดมา เสียงใบมีดโกนที่ถากหัวกะโหลกฉันช้าๆ ครั้งที่อีพี่กอบคำยึดแขนฉันไว้ ปล่อยให้เฮียสมพงศ์ขูดใบมีดโกนลงครั้งแล้วครั้งเล่า

…ครั้งแล้วครั้งเล่า

“…ไม่ ไม่เอา” ฉันเอ่ยปาก พยายามส่ายหน้าให้รู้ด้วยว่า ฉันไม่เอาจริงๆ

“ไม่เอาอะไร” นางปันถาม

“ไม่โกนหัว…ไม่โกน”

ผู้หญิงสองคนมองหน้ากัน

น้ำตาฉันไหลลงมาอีก

“เอาละ ไม่โกนก็ไม่โกน” อามินรีบพูด “งั้นสระก็พอนะ เดี๋ยวอาสระให้ ไม่ให้โดนแผลหรอก”

แต่ฉันไม่อยากฟังใครอีกต่อไป ดิ้นออกจากอ้อมกอดของนางปัน กลับขึ้นไปยังสะลี ล้มตัวลงนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาข้างฝา ปิดตาให้แน่น

คิดแต่เพียงว่า ฉันจะตายได้ด้วยวิธีใด

“ไม่เป็นท่าแล้วกระมังพี่”

ยินเสียงนางปันพูดกับคนร่วมบ้าน

เสียงอามินถอนใจ

“พี่ก็ว่านะ…แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า พาไปโรงพยาบาลมั้ย แล้วจะบอกหมอว่ายังไง ประวัติจริงๆ เราก็ไม่รู้”

“หรือจะพาไปส่งบ้าน”

“ท่าทางเขาไม่อยากกลับบ้านนะ ถามถึงญาติพี่น้องไม่เคยตอบสักที หนีออกจากบ้านมาละมั้ง”

“นั่นก็เล่นหนักเกิน ทำเด็กขนาดนี้”

“ไอ้นั่นนะรึ!” เสียงอามินแข็งกร้าวขึ้นมา “ไม่เอาตำรวจไปลากคอมันก็บุญแล้ว เพราะเห็นแก่ปันกับลูกหรอก!”

“อะไร? วกมาหาเรื่องปันทำไม?”

“ไม่ได้หา” จู่ๆ เสียงอามินก็ฉุนเฉียวขึ้น “ข้อเท็จจริงไหมล่ะ บางทีพี่ก็ยังคิดอยู่เลย ปันยังตัดมันไม่ลงใช่หรือเปล่า ถึงได้ปกป้องอยู่ตลอด เห็นอยู่ว่ามันเลวแค่ไหน”

“พูดดีๆ นะพี่มิน ปันปกป้องเขายังไง”

“ก็เห็นๆ อยู่ ว่ามันทำเรื่องขนาดนี้…ลูกอีก ป่านนี้จะเป็นยังไง เสียใจขนาดนั้น”

ถึงไม่ตั้งใจฟัง แต่คำพูดยังคงลอยมาเข้าหูอยู่เรื่อยๆ และฉันก็สะดุดใจกับคำว่า…ลูกอีก…คนทั้งสองหมายถึงใคร

“พอเถอะ พูดแล้วจะทะเลาะกันทุกที ฉันน่าจะรู้ว่าพี่ไม่เคยไว้ใจฉันหรอก” เสียงนางปันว่า

“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ…แต่พี่ไม่เข้าใจ มันเลวขนาดนี้ ทำไมยังต้องปกป้องมัน”

“ปันปกป้องเขาตรงไหน!”

“ก็ฟังคำพูดตัวเองสิ! คำก็เขา สองคนก็เขา เรียกมันอย่างพี่สิ”

“พี่อย่าหาเรื่องปันนะ”

“ปันไปหามันพร้อมกับพี่ไหมล่ะ…พาเด็กไปเลย เอาตำรวจไปด้วยกันเลย!”

“พี่จะไปยุ่งกับเขาอีกทำไม เด็กก็ปลอดภัยแล้ว”

“เห็นมั้ย ปันก็ทำไม่ได้! เห็นอยู่ว่ามันโรคจิตขนาดไหน ที่มันลอยนวลอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมีคนอย่างปันนี่แหละ!”

แล้วทุกอย่างก็เงียบลง กระทั่งนาทีต่อมามีเสียงคนย่ำลงบันไดไป ฉันได้ยินทั้งหมดโดยไม่อาจเข้าใจอะไรได้ และคิดว่า…ถึงที่สุดมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน

หากแล้วก็ยินเสียงดังอยู่ข้างๆ

“…ไป ลุกไปสระผมกันดีกว่า”

ไม่พูดเปล่า ยังวักไหล่ให้หันหา ฉันยันตัวลุกทั้งๆ ที่น้ำตายังเลอะแก้ม

“…อามิน”

“ครับ”

ผู้หญิงผมสั้นพูดครับกับฉัน…?

“ขอเชือกหนูสักเส้นได้มั้ย” ฉันตัดสินใจแทนตัวเองด้วยคำที่ไม่เคยชอบ

“จะเอาไปทำอะไร” อามินเบิกตา

“…ขอหนูหน่อยเถอะ”

“โธ่เอ๋ย”

อามินรวบตัวฉันไว้ เป็นครั้งที่สองในอ้อมแขนอวบใหญ่ สาบกลิ่นเหงื่อมารวยริน

“อย่าพูดอย่างนี้เลย อีหนู มันผ่านไปแล้วนะ…มันมาทำร้ายหนูไม่ได้อีกแล้ว”

“…ไม่ใช่…เรื่องนั้น” ฉันพยายามจะบอก “หนูไม่อยากอยู่อีกแล้วน่ะ ไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ”

“พอ หยุดพูด!”

ผู้หญิงหน้าเข้มรัดร่างฉันไว้แน่นหนา มือใหญ่กดหัวลงมา

“อย่าคิดสั้นเด็ดขาดเข้าใจมั้ย ถ้าอยากตายให้เอาชีวิตมาฝากกับอานี่”

คำพูดทะลุหูซ้ายผ่านไปออกหูขวา ผู้หญิงผมสั้นพูดอะไรอีกมากมายหลายอย่าง หากฉันแทบไม่ฟังมันเลย แค่เพียงรู้ว่าบึงน้ำในตัวไม่อาจจะหดแคบเข้า คงไม่มีวันตื้นเขิน มันเพียงนานเหลือเกินที่ฉันต้องทุกข์ทรมานอยู่กับเนื้อตัวร่างกายนี้ วันหนึ่งวันใดที่จิตใจแตกดับ ฉันอาจจะได้หลับเป็นสุขสักที

มีเสียงนกร้องดังมาไกลๆ เสียงใครร้องเพลงลูกทุ่งแว่วมา แล้วน้ำตาฉันก็หลั่งออกมาอีก