ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
UNDER THE BURNING SUN THE GRASS IS GREENER THAN EVER การขุดคุ้ยตะกอนประวัติศาสตร์ ผ่านภาพถ่ายแห่งอดีตและปัจจุบัน
“ภาพถ่าย” นอกจากจะเป็นเครื่องแทนความเป็นจริง เป็นเครื่องมือบันทึกห้วงเวลาขณะหนึ่งในชีวิต เป็นหลักฐานการมีอยู่ของความสัมพันธ์ หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือบันทึกประวัติศาสตร์
ภาพถ่ายยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบมาพากลในสังคมได้อีกด้วย
ดังเช่นผลงานในนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งล่าสุดของ เล็ก เกียรติศิริขจร ศิลปินร่วมสมัยชาวไทยผู้ทำงานในสื่อภาพถ่าย อย่าง UNDER THE BURNING SUN THE GRASS IS GREENER THAN EVER ที่ขุดคุ้ยความทรงจำในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ยังไม่ถูกชำระจากเหตุการณ์ความรุนแรงนองเลือดทางการเมืองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่ถูกกลบฝังภายใต้ภาพลักษณ์อันสดใสสวยงามของสังคมอันสงบเรียบร้อย เปี่ยมศีลธรรม
ด้วยผลงานภาพถ่ายชุด Postcards from Heaven ที่นำภาพถ่ายกิจกรรมรื่นเริงทางสังคมในยุคปัจจุบันในสีสันฉูดฉาดจัดจ้าน จำนวน 16 ภาพ ซ้อนทับด้วยข้อความพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์อย่าง หนังสือพิมพ์ดาวสยาม, หนังสือพิมพ์ชาวไทย และหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิไทม์ ฯลฯ
ในลักษณะตัวหนังสือโปร่งแสงจนยากจะสังเกตเห็น ถ้าไม่พินิจพิจารณาให้ดี
เล็ก เกียรติศิริขจร ศิลปินเจ้าของผลงานกล่าวถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังนิทรรศการครั้งนี้ว่า
“ผลงานในนิทรรศการนี้มีที่มาจากการที่ผมสะสมโปสการ์ดเก่าในช่วงทศวรรษ 2510 ที่มีโทนสีแปลกๆ ฉูดฉาด ในยุคสมัยที่เมืองไทยกำลังประชาสัมพันธ์ตัวเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
“ในตอนแรกผมสนใจแค่ภาพลักษณ์ของโปสการ์ด เลยลองถ่ายภาพบันทึกเหตุการณ์ปัจจุบันด้วยรูปแบบทางสุนทรียะเดียวกันกับโปสการ์ดเหล่านั้น”
“หลังจากนั้นผมก็คิดต่อไปอีกว่าในช่วงปีนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงปีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ผมก็เลยเอาเหตุการณ์ที่ว่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานชุดนี้ โดยเปรียบเทียบเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีต กับกิจกรรมรื่นเริงทางสังคมที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ด้วยความที่เป็นเหตุการณ์ในยุคร่วมสมัย พอเกิดเหตุการณ์ไหนขึ้น ผมก็ออกไปถ่ายภาพบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ปี”
“แต่กับเหตุการณ์ทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นในอดีตล่ะ ผมจะเอามาผนวกเข้ากับงานชุดนี้ได้อย่างไรดี? ผมเลยเข้าไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ โดยมุ่งไปที่พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ในยุคสมัยนั้น”
“ผมนำพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์เหล่านี้มาผนวกเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างกิจกรรมทางสังคมและวัฒธรรมต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้น อย่างเช่น เหตุการณ์ฉลอง 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยเลือกใช้เทคนิคการพิมพ์ยูวีลงบนแผ่นอะคริลิก และทับซ้อนตัวหนังสือข้อความจากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ (แบบโปร่งใส) ลงไปบนผิวหน้าของภาพ โดยที่ยังคงความเป็นตัวหนังสือพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เอาไว้ ขนาดของผลงานก็ยังเท่ากับขนาดหน้าคู่ของหนังสือพิมพ์อีกด้วย”
“ที่ผมเลือกใช้วัสดุอะคริลิกพลาสติก เพราะผมอยากให้มีความรู้สึกแบบ Kitsch (ความโหล ดาษดื่น) แบบเดียวกับเนื้อหาที่อยู่ในภาพซึ่งเป็นกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เทคนิคการพิมพ์ยูวียังเป็นเทคนิคที่ใช้กันในงานโฆษณาอีกด้วย”
“นอกจากจะจัดวางองค์ประกอบของภาพให้เหมือนโปสการ์ดแล้ว ผมยังปรับแต่งสีของภาพเยอะมาก ด้วยความที่ผมพิมพ์ภาพด้วยเทคนิคการพิมพ์ยูวี ซึ่งใช้ระบบสีแบบ CMYK ที่ให้สีสันฉูดฉาดแปลกตา เหมือนกับโปสการ์ดในยุคนั้น และหนังสือแบบเรียนของเด็กในสมัยก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมต้องการ”
“นอกจากจะปรับแต่งให้ภาพถ่ายมีโทนสีจัดจ้าน ผมยังเลือกถ่ายภาพให้มีความชัดลึกเท่ากันทั้งภาพ และเลือกถ่ายภาพตอนแสงสว่างจ้า เพราะต้องการให้ภาพดูแบนเท่าๆ กันหมด เพื่อต้องการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับความจริงและความไม่จริง ซึ่งเป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับบันทึกทางประวัติศาสตร์”
ที่น่าสนใจก็คือ พื้นห้องแสดงงานของนิทรรศการครั้งนี้ ถูกปูด้วยหญ้าเทียมสีเขียวสดใสไปจนทั่วทั้งห้อง ราวกับจะล้อไปกับชื่อนิทรรศการ ด้านในสุดของห้องแสดงงานยังมีภาพถ่ายเล็กๆ ของต้นมะขาม หลักฐานเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอันน่าสยดสยองในช่วงเวลานั้นด้วย
“ที่ปูพื้นหญ้าแบบนี้ก็เพราะผมต้องการเปลี่ยนความรู้สึกของผู้ชมที่เดินเข้าไปในห้องแสดงงานที่เดิมเป็นพื้นไม้ ผมอยากให้นิทรรศการนี้เป็นมากกว่านิทรรศการภาพถ่ายทั่วไป พื้นหญ้านี้ยังเป็นภาพแทนของสนามหลวง และสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม”
“ส่วนภาพถ่ายต้นมะขามที่สนามหลวง ผมสันนิษฐานว่าเป็นต้นเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม เมื่อดูจากลักษณะทางกายภาพที่ใกล้เคียงกับต้นที่อยู่ในภาพถ่ายมาก แต่ผมยืนยันไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาตร์และวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับต้นมะขามนี้”
“สำหรับผมภาพนี้เป็นเหมือนภาพแทนประวัติศาสตร์ที่ถูกย่อส่วนให้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลของคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น ผมเลยทำให้มีขนาดเท่ากับภาพถ่ายในอัลบั้มรูปถ่ายของครอบครัว”
บนพื้นห้องแสดงงานยังมีสายไฟสีดำยาวเหยียดวางกองยุ่งเหยิงระเกะระกะอยู่เต็มพื้น สายไฟที่เห็นนี้มีความยาว 241 เมตร ซึ่งตรงกับวาระ 241 ปีของกรุงรัตนโกสินทร์ ราวกับจะเป็นภาพแทนประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัยอันยุ่งเหยิงวุ่นวายของบ้านเมืองนี้ กองสายไฟที่ว่านี้ก็ยังทำให้เรานึกถึงสายไฟรกรุงรังบนท้องถนน ที่กลายเป็นภาพจำของกรุงเทพมหานครในใจของใครหลายคน
“ภาพถ่ายทั้ง 16 ภาพที่จัดแสดงอยู่บนผนังในนิทรรศการครั้งนี้ถูกเรียงลำดับจากช่วงเวลาของตัวหนังสือพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปลายปี 2519 ไล่เรียงว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้น”
“นิทรรศการครั้งนี้เป็นเหมือนการบอกเล่าข้อมูลที่ผมพบเจอมา และสำรวจว่าผู้ชมจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมถ่ายภาพมาอย่างไร”
กฤษฎา ดุษฎีวนิช ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการกล่าวถึงเป้าหมายของนิทรรศการครั้งนี้ว่า
“นิทรรศการครั้งนี้เราพยายามจะสร้างแรงสั่นสะเทือนอะไรบางอย่างแก่ประวัติศาสตร์ที่เคยตกตะกอนให้เกิดการฟุ้งกระจายคุกรุ่นขึ้นมา ด้วยการใช้ภาพถ่ายที่ดูมีความสุข ความสงบ ความสวยงาม สมบูรณ์แบบ เหมือนเป็นสรวงสวรรค์ กับชุดตัวหนังสือที่มีความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง”
“ภาพถ่ายเหล่านี้คือภาพของสถานที่ที่ถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลังจากที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศจากการรัฐประหาร สิ่งที่ดูสมบูรณ์แบบและสวยงามที่ว่านี้มีตะกอนความทรงจำอะไรบางอย่างอยู่ นิทรรศการครั้งนี้เป็นความพยายามในการทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนตะกอนที่ถูกกลบฝังซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบของประวัติศาสตร์เผยตัวขึ้นมา”
“เราพยายามจับคู่ความจริงกับข้อเท็จจริงให้ใกล้ชิดกันที่สุด ให้เกิดแรงเสียดทานบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เพื่อกระตุ้นให้คนหันกลับมามองปัจจุบัน โดยใช้สัญลักษณ์ง่ายๆ อย่างสนามหญ้าของสนามหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พยายามสร้างความเขียวขจี เช่นเดียวกับชื่อของนิทรรศการนี้ ที่แสงแดดยิ่งจัดจ้า หญ้ายิ่งเขียวสด แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่สีเขียวอันสวยงาม สมบูรณ์แบบแห่งนี้ได้กลบฝังเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มากี่รอบแล้ว ความสวยงามของพื้นที่ท้องสนามหลวงในปัจจุบันมีชั้นของตะกอนความทรงจำทับซ้อนอยู่ เป็นตะกอนของความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องของผู้คน กับภาพที่เราเคยเห็นกันในอดีต ที่ผ่านตาแล้วก็ผ่านเลยไป”
“เราหยิบเอาตะกอนเหล่านั้นขึ้นมาสื่อสารผ่านประโยคตัวหนังสือที่ซ้อนทับบนภาพถ่าย แต่ทำให้เจือจางและเบาบางที่สุด จนทำให้ผู้ชมต้องชมอย่างจดจ่อตั้งใจจึงจะเห็นร่องรอยของตะกอนประวัติศาตร์ที่คุกรุ่นอยู่ในนั้น”
นิทรรศการ UNDER THE BURNING SUN THE GRASS IS GREENER THAN EVER โดย เล็ก เกียรติศิริขจร และภัณฑารักษ์ กฤษฎา ดุษฎีวนิช
จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม-3 กันยายน 2566 ณ HOP PHOTO GALLERY ชั้น 3 โซน MUNx2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ [email protected]
ในนิทรรศการยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษ WALKING IN THE BURNING SUN EXHIBITION TOUR BY LEK KIATSIRIKAJORN ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม-3 กันยายน 2566 (5 รอบ)
กิจกรรมนำชมนิทรรศการ UNDER THE BURNING SUN THE GRASS IS GREENER THAN EVER โดยศิลปิน ‘เล็ก เกียรติศิริขจร’ พูดคุยถึงขั้นตอนกระบวนการทำงานของผลงานชุดนี้ จนถึงเบื้องหลังนิทรรศการ สำหรับใครที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ในลิงก์นี้ https://forms.gle/jStrCcJkfaEGrtvH9 ตามวันและเวลาที่กำหนด : วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2566 / เวลา 14:30-16:00 I วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2566 / เวลา 13:00-14:30 I วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 / เวลา 13:00-14:30 I วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2566 / เวลา 13:00-14:30 I วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2566 / เวลา 13:00-14:30 •
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022