โล่เงิน : เงินทอนวัดสะเทือน “มหาเถร” ปปป.จับ พศ.ลุยปราบทุจริตเขย่า “ดงขมิ้น”

เป็นเวลาร่วมปี ที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นำโดย “บิ๊กโต” พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) เดินหน้าคุ้ยปมสะเทือนเมืองพุทธ กับกรณี “สางปมทุจริตเงินทอนวัด” จากล็อต 1 ถึง 2 และ 3

เกือบ 5 เดือน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปปป. และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ระดมสมองและกำลังร่วมกันคลี่คลายคดี “เงินทอนวัด” เพื่อขจัดมารศาสนา

ทว่า การสางปมทุจริตล็อต 3 ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

สะเทือนไปมหาเถรสมาคม (มส.) เพราะมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าเกี่ยวเนื่องกับพระผู้ใหญ่ถึง 5 รูป

ก่อนหยุดยาวสงกรานต์ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักพระพทุธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ได้เดินทางร้องทุกข์กล่าวโทษที่ บก.ปปป. หลังพบการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและพระสงฆ์ร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบร่วมกันทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุนของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) 3 ประเภท

คือ 1. งบฯ อุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด

2. งบฯ อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

และ 3.งบฯ อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี

ครั้งนี้ถือเป็นละเอียดอ่อนมาก เพราะมีเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปมีส่วนด้วย คือนอกจากกระทำความผิดอาญาแล้ว ยังเข้าข่ายอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัยด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับทราบรายละเอียดแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย

การแจ้งความร้องทุกข์ของ ผอ.พศ. แจ้งความนั้นมีถึง 10 วัด รวมทั้งหมด 11 คดี มูลค่าความเสียหาย 100 ล้าน

โดย ผอ.พศ. ได้แจ้งความไว้ก่อน 3 วัด และจะแจ้งอีก 7 วัด

หลังสอบปากคำ “บิ๊กโต” ได้มอบให้ พ.ต.อ.จักษ์ เพ็งสาธร รองผู้บังคับการ ปปป. นำพนักงานสอบสวนพร้อมสำนวน 4 แฟ้มใหญ่ไปส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทันที

พล.ต.ต.กมล เล่าว่า ปปป. ได้ดำเนินการลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนการกระทำผิดของข้าราชการและพระสงฆ์ที่ทุจริตเงินทอนวัด ล็อต 3 ได้เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม พ.ศ.2560

โดยมีวัดเป้าหมาย 30 วัดจากทั่วประเทศ

ปัจจุบันผ่านมากว่า 2 เดือน พบวัดที่เข้าข่ายการกระทำผิดแล้ว 20 วัด รวมมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท

และผู้ต้องหาเป็นทีมต่อเนื่องกับผู้ต้องหาชุดเก่าและมีเจ้าหน้าที่รัฐรายใหม่ที่สังกัด พศ. ระดับตำแหน่งสูง ร่วมทุจริตด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานว่า การทุจริตที่พบมี 2 แบบ คือ มอบอำนาจให้ไวยาวัจกร เป็นผู้ไปเบิกงบฯ ด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก่อนนำเงินมาเข้าบัญชีวัด จากนั้นก็ถอนเงินไปเก็บไว้ที่บัญชีอื่น ซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นบัญชีของพระชั้นผู้ใหญ่รูปนั้นเองหรือไม่

แบบที่ 2 คือ พระชั้นผู้ใหญ่เขียนโครงการอบรมด้านพระพุทธศาสนาและโครงการเกี่ยวกับการเรียนธรรมะขึ้นมาเอง เพื่อของบฯ เมื่อได้งบฯ มา กลับนำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์โครงการที่เขียนไป

และมีการกระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติ แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบฯ เผยแผ่ศาสนา

มีความเสียหายทั้งสิ้น 70 ล้าน

ก่อนหน้านี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีการดำเนินคดีไปแล้ว 2 ล็อต

โดยล็อตแรกกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้นำสำนวนการตรวจสอบกรณีการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด ไปให้ ป.ป.ช. ไต่สวนทั้งสิ้น 12 คดี อาทิ วัดในจังหวัดอำนาจเจริญ พระนครศรีอยุธยา ลำพูน

และที่ผ่านมา ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการ พศ., นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการ พศ. นางสาวประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการ พศ. กับพวกทุจริตงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด กรณีวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับงบฯ อุดหนุนในปี 2557-2558 ไปแล้ว

รวมทั้งช่วงต้นปี 2561 ยังได้ชี้มูลความผิดนางสาวประนอม, นายพนม และข้าราชการ พศ. รวม 9 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต กรณีอนุมัติจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนแก่วัด 3 แห่ง ใน จ.สงขลา ยะลา นราธิวาส วัดละ 4 ล้านบาท เมื่อปี 2558

ในส่วนของล็อตที่ 2 มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 19 ราย โดยเป็นการทุจริตเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท แยกเป็น 21 สำนวน 33 แฟ้ม รวมเอกสารกว่า 13,000 แผ่น

โดย ปปป. ได้นำสำนวนยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560

ต้องยอมรับว่าเงินทอนวัดล็อต 3 นอกจากสร้างความตื่นตะลึงให้พุทธศาสนิกชนแล้วยังสร้างความหดหู่ใจอีกด้วย

ที่สำคัญยังเกี่ยวข้องความศรัทธาของผู้คนที่ยึดโยงกับพระเถระแต่ละรูป ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ระมัดระวัง

เพราะระดับที่เกี่ยวข้องกับคดีในครั้งนี้มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นนักการเมือง และบุคคล “บิ๊กเนม” ทั้งนั้น

ฉะนั้น หน่วยงานทั้ง พศ. และ ปปป. ต้องทำคดีอย่างรอบคอบที่สุด หลักฐานที่หนาแน่น ถูกต้อง และสมบูรณ์

ไม่อย่างนั้นเรื่องใน “ดงขมิ้น” อาจลามมาซ้ำเติมให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนเข้าไปอีกได้