หลังเลนส์ในดงลึก/ปริญญากร วรวรรณ/’ธุดงค์’

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
เก้ง - เก้งมีประสาทสัมผัสในการระวังภัยดีมาก จะกระโจนหนีทันทีที่ได้กลิ่นผู้ล่า สัตว์อื่นๆ ใช้เก้งเป็นเสมือนผู้ระวังภัยให้

หลังเลนส์ในดงลึก
ปริญญากร วรวรรณ

‘ธุดงค์’

ช่วงที่อยู่ในสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ
วันพฤหัสฯ ดูเหมือนจะเป็นวันพิเศษ และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน เพราะเป็นวันที่เราจะออกไปซื้อเสบียง
วันพฤหัสฯ คือวันที่เมืองลานสักมีตลาดนัด จึงเป็นวันที่คึกคักมาก คนที่ไม่ได้ออกมา ก็จะมีรายการฝากซื้อหลายรายการ
“ในสมัยก่อน ที่มีรถคันเดียว เวลาเข้าเมืองต้องเข้าและรอกลับพร้อมๆ กัน ไม่สะดวกอย่างเดี๋ยวนี้หรอกครับ” พี่ อ็อด พิทักษ์ป่าอาวุโส เล่าให้ฟัง
แม้ว่าจะเข้า-ออกเมืองสะดวกสบายมากขึ้น แต่วันพฤหัสฯ ก็ยังคงสำคัญ
วันนั้น เราออกจากสถานีหลังเคารพธงชาติ และกินข้าวเช้าใช้เวลาราวๆ 45 นาที ถึงสำนักงานเขต อันเปรียบเสมือนปากทาง ท่อแป๊บทาสีขาวแดงเก่าๆ ติดอยู่กับเสาไม้ เป็นคล้ายประตู ผู้เข้า-ออกจะลงไปเปิดเอง
เป็นกลางฤดูฝน ซึ่งท้องฟ้าครึ้มด้วยเมฆฝน เมื่อคืนฝนกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว สายๆ อย่างนี้ฝนหยุดแล้ว แต่ท้องฟ้ายังดูฉ่ำชื้น
ใกล้ๆ ประตูด้านขวามือ มีเสาไม้ทาสีดำจำนวนหนึ่ง
เสาไม้จารึกชื่อเจ้าหน้าที่ป่าห้วยขาแข้งที่เสียชีวิตจากการปะทะกับผู้ต้องหา
ใกล้ๆ นั่น มีกลุ่มคนไม่น้อยกว่า 20 คน กำลังยืนนิ่ง ระลึกถึงเหล่าผู้พลีชีพในการปกป้องดูแลชีวิตสัตว์ป่า และแหล่งอาศัยของพวกมัน
พวกเขาและเธอเป็นกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งในพื้นที่ไม่ไกลจากป่า
ผมชะลอรถ เคลื่อนที่ไปช้าๆ ผู้ชายร่างท้วม สวมเสื้อยืดสีดำ ยกมือทักทาย เขากำลังนำวัยรุ่นหญิงชายกลุ่มนี้เดินศึกษาธรรมชาติ บนเส้นทางที่เตรียมไว้
ชายผิวคล้ำร่างท้วม นั่นชื่อ สมควร เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยประชาสัมพันธ์
เราพบเจอกันเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ ในหน่วยพิทักษ์ป่าทางตอนใต้ลำขาแข้ง
เราร่วมทางกันเสมอ ครั้งที่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเฝ้ารอริมโป่ง
ผ่านไปหลายปี เรามาพบกันอีก
พบกันบนเส้นทางเส้นเดิม
“เส้นทาง” ที่มีสัตว์ป่าเดินไปล่วงหน้า…

ฤดูหนาว
ทางตอนใต้ลำน้ำขาแข้ง
“ทำงานอย่างนี้ ไม่ต้องบวชก็ได้นะครับ” สมควร ชายหนุ่มคนงานหน่วยพิทักษ์ป่า พูดยิ้มๆ ตอนผมเดินกลับถึงแคมป์ริมห้วย ที่มีกระแสน้ำไหลรินๆ หลังเข้าไปอยู่ในซุ้มบังไพรตั้งแต่เช้ามืด
ผมยิ้ม ยอมรับว่าคำพูดเขาใกล้เคียงกับความจริง ถ้าความหมายหนึ่งของการครองผ้าเหลือง ที่ต้องสละหลายสิ่ง ปลีกวิเวก พิสูจน์ความอดทน รวมถึงการเรียนรู้ ทำความรู้จักตนเอง
ผมปฏิบัติเช่นนี้อยู่ทุกวัน เข้าไปอยู่ในบังไพรแคบๆ ทำจากผ้าลายพรางบางๆ มีกิ่งไม้บังๆ ความแปลกปลอม เหลือเพียงช่องเล็กๆ ไว้ให้มองเห็นภายนอก
จริงอยู่แม้ว่าเราจะทำซุ้มบังไพรไว้ใกล้ๆ แหล่งอาหาร ซึ่งสัตว์ป่าต้องแวะเวียนมาเพื่อกินอาหารก็ตาม
แต่ด้วยนิสัยของสัตว์ป่า ที่ส่วนใหญ่จะหากินเป็นวงรอบรอย หรือร่องรอย บนพื้นที่สัตว์ป่าทิ้งไว้ ทำให้มีความหวังได้เท่านั้น เจ้าของรอยอาจหายหน้าไปนานนับสัปดาห์
การเฝ้าจึงเป็นสิ่งต้องกระทำ
การรอ หลายครั้งผมต้องใช้มากกว่าเพียงร่างกาย

บางวันตั้งแต่เช้ามืด
นอกจากฝูงนกหกเล็กปากแดง นกมูม นกเขาเปล้า นอกจากนั้นแล้ว ผมอยู่กับความว่างเปล่า
ดวงอาทิตย์ลับสันเหลี่ยมเขา อีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงฟ้าจะมืด
กระทิง วัวแดง มักออกจากดงทึบ และแวะมาที่โป่งในช่วงเวลาอย่างนี้
จากด้านซ้ายมือ มีเสียงย่ำ เสียงเดินๆ หยุดๆ
ผมค่อยๆ แหวกช่องมอง เก้งตัวผู้เขาใหญ่ กำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ
ดวงตาดำขลับ หางกระดกขึ้นลง หันมองซ้ายขวาสักพัก ก่อนก้มกินหญ้า สลับการเงยหน้ามองรอบๆ เป็นระยะ
ผมขยับเลนส์ไปทางเก้ง ปรับหาระยะชัด
ความงาม ความเป็นชีวิต ปรากฏในสายตา
ผมไม่กดชัตเตอร์ เพราะรู้ดีว่า เก้งคือสัตว์ป่าซึ่งมีประสาทสัมผัสในการระวังภัยดีเลิศ
หากเก้งตื่นหนี เหล่าสัตว์อื่นๆ อย่างกระทิง วัวแดง ก็จะรู้ถึงอันตรายด้วย
เก้งขยับเข้ามาใกล้ ก้มกินน้ำอย่างไม่ระแวง
“ฟอด ! ฟอด!” กระรอกส่งเสียง
เก้งเงยหน้า มองรอบๆ ท่าทางสวยงาม อยู่ในระยะที่เลนส์ 400 มิลลิเมตร ทำงานได้ผล
สภาพแสงกำลังดี
ว่าตามจริง เก้งอยู่ใกล้เกินไปด้วยซ้ำ ระยะแค่นี้เสียงชัตเตอร์ย่อมไม่พ้นจากการได้ยิน
ผมควรอดใจรอสักหน่อย ไม่ควรทำให้เก้งตื่น
“แล้วจะให้วันนี้จบลงอย่างว่างเปล่าอีกเหรอ”
คำถามดังขึ้นในใจ
“ฟอด!” กระรอกส่งเสียง เก้งเงยหน้า
“กริ๊ก ” โดยสัณชาตญาณ ผมกดชัตเตอร์ เก้งหันมาทางต้นเสียง ขยับใบหู ขาหน้ากระทืบพื้น ทำจมูกเชิด ก่อนหันหลังวิ่งเหยาะๆ เข้าชายป่า
ยังไม่ลับร่างเก้ง ดงไม้ฝั่งตรงข้ามไหวยวบ มีการเคลื่อนไหวเสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งตะบึง
วัวแดงฝูง หรือไม่ก็กระทิง กำลังจะออกมา
การตื่นหนีของเก้ง ทำให้พวกมันรู้ตัว
เป็นเพราะการอดใจไม่ไหวของผมแท้ๆ
พลาดครั้งนี้ จะทำให้สัตว์ฝูงนี้ระแวงที่บริเวณนี้ไปอีกนานเท่าใด
ผมคิดถึงเรื่องนี้จนเดินกลับถึงแคมป์

คืนนั้น สมควรแกงเปอะหน่อไม้ใส่ใบหญ้านาง ที่เก็บจากริมห้วย กองไฟวับแวม ท้องฟ้ามืด ดาวส่องประกาย อุณหภูมิลดฮวบฮาบ
“พี่เคยบวชหรือยังครับ” สมควรชวนคุย ผมเงยหน้ามองหน้าที่เห็นเพียงครึ่งเสี้ยว
“ผมคิดว่าผมอยู่บนเส้นทางสายนั้นมานานแล้วนะ” ผมตอบตามความรู้สึก รวมทั้งวิถี ซึ่งปฏิบัติทุกวัน
พยายามเรียนรู้ ทำความรู้จักตัวเอง โดยมีธรรมชาติเป็นครู
อาจไม่ต่างจากการ “ธุดงค์” ของภิกษุ
“แต่ไปไม่ถึงไหนเลยครับ” ผมบอกสมควร
บนหนทางเดินที่เคยคิดว่า ร่างกายจะอดทน หรือเผชิญได้กับทุกสิ่ง คงไม่พอเพียง
ถ้า “ใจ ” ยังร้อนรุ่มเช่นนี้

บ่ายแก่ๆ เรามุ่งหน้ากลับพื้นที่ทำงาน
ทิวเขาซับซ้อน เมฆหนาทึบ
ผ่านมาหลายปี ผมยังอยู่บนเส้นทางเส้นเดิม
และยังเดินไปไม่ถึงไหนสำหรับสัตว์ป่า ชีวิตพวกมันเริ่มต้นอย่างสวยงาม แต่แล้วก็ต้องพบกับหายนะ เมื่อแหล่งอาศัยถูกบุกรุก ตัวโดนไล่ล่า
ชีวิตเมื่อเดินไปบนหนทางเดียวกัน
อาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะพบกับชะตากรรมเดียวกัน
หลายเรื่องราวเริ่มต้นด้วยความงดงาม
ทว่า ตอนท้ายมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลายเรื่องราวเช่นกัน
ที่การ “ธุดงค์” ไม่ได้ช่วยอะไร