ฟ้า พูลวรลักษณ์ : ความคิดสุดท้าย ความรู้สึกสุดท้าย

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๑๐)

ความคิดสุดท้าย จะมีค่าเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม

ความรู้สึกสุดท้ายก็เช่นกัน ขอเพียงมันเป็นความรู้สึกสุดท้าย

น่าประหลาด สมัยหนึ่งฉันหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ ความคิดสุดท้าย ความรู้สึกสุดท้าย

บทกวีในยุคนั้นของฉัน จะสั้นๆ และอ่านแทบไม่รู้เรื่องเลย เช่น

ช่วยเปิดหน้าต่างบานนี้ที

แล้วก็จบแค่นั้น

เพราะมันเป็นความรู้สึกสุดท้าย จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก

สำหรับฉันช่างงดงามเหลือเกิน งดงามอย่างบอกไม่ถูก

มันเลยล้ำทุกอย่าง และฉันก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง คนอื่นจะเข้าใจไหม

ทุกวันนี้ ฉันถดถอยลงไปมาก แพ้ตัวเองในวัยเด็ก

สมัยเด็ก ฉันสามารถจินตนาการให้จักรวาลนี้มีรูปทรงใดก็ได้ และอยู่ภายใต้กฎกติกาของรูปทรงนั้น เช่น จักรวาลที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม หรือสามสิบสองเหลี่ยม มันแปลกดี จักรวาลที่มีหลายรูปทรง

ในวัยเด็กคิดได้ เพราะฉันมีจินตนาการ และความต่อเนื่องในจินตนาการเหล่านั้น

วันนี้ฉันคิดได้ แต่ต่อเนื่องไม่ได้ มันหยุดชะงัก

ท้ายสุดนี้ สิ่งที่ฉันคิดได้ คือดินแดนที่ไม่มีฉัน มันยังเป็นความงดงามสุดท้าย คล้ายหนึ่งจะง่าย การที่ฉันจะคิดถึงดินแดนที่ไม่มีฉัน แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกก็กลับมาที่ตัวเองอีก

หลับๆ ตื่นๆ แบบนี้ พยายามใฝ่หาดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีฉัน

แต่ได้มาไม่นานก็สูญมันไป กลับมาที่ตัวเองอีก

ความซึ้งใจอยู่ที่ว่า การกลับมานี้ เป็นเพียงชั่วคราว อีกไม่นานฉันก็ต้องตาย

แล้วจักรวาลนี้ก็จะไม่มีฉัน

ศัตรูหมายเลขหนึ่งของชีวิต คือ กาลเวลา

เพราะกาลเวลาไม่หยุดนิ่ง เราจึงต้องตาย

แต่สมมติว่ากาลเวลาหยุดนิ่งล่ะ ถ้าจากวันนี้ไปสู่นิรันดร ทุกอย่างเป็นอย่างวันนี้

นี้คือความคิดสุดท้าย นี้คือความรู้สึกสุดท้าย

ใครช่วยเปิดหน้าต่างบานนี้ที

สงครามสมัยก่อน จบลงด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน แสดงว่ายังมีผู้ชนะ

แต่สงครามสมัยใหม่ อาจจบลงด้วยการไม่เหลือใครเลย ไม่มีผู้ชนะ

สองคอนเซ็ปต์นี้ขัดแย้งกัน เราอยู่ตรงกลาง

คุณเชื่อว่าสงครามสมัยใหม่จะมีไหม และไม่มีผู้ชนะจริงไหม

เราไม่มีสิทธิออกนอกโลก เพราะเรายังดูแลโลกนี้ไม่ได้เลย

ฉันเรียกสิ่งนี้ว่า First Principle กฎข้อนี้ใหญ่ และมาก่อน การฝ่าฝืนมัน คือการต้องการทำลายหมดทั้งจักรวาล

ถ้าจะทำลาย ทำลายแค่โลกนี้เถอะ อย่างน้อย เราก็ยังเหลือ ทั้งสิ้นทั้งมวลในจักรวาลไว้

เราอาจทำลายธรรมชาติบนโลกนี้จนหมด แต่เราก็ยังเหลือทั้งสิ้นทั้งปวงในจักรวาล ซึ่งกว้างใหญ่พอควร เราไม่ได้ไปแตะต้องมัน

ไม่น่าเชื่อ ว่ามนุษย์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เรากำลังพยายามทำความผิดใหม่ เพื่อลบล้างความผิดเดิม ความผิดที่ซ้ำซ้อน

เราพยายามลืมความผิดเดิม ด้วยการทำความผิดใหม่

แบบนี้ เราจะลืมได้อย่างไร

๑๐ ฉันรู้จักคนหลายคน ที่มีความคิดที่ดี แต่แล้ววันหนึ่งเขามีลูก

ทันใดนั้นเอง เขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นทาสของลูกน้อย

ความรักลูกอย่างท่วมท้น ทำให้เขาเหมือนคนตาบอด หูหนวก บัดนี้วงจรได้เริ่มขึ้น เขากำลังทำทุกสิ่งให้ลูกของเขา ไม่มีความคิดใดเหลืออยู่

๑๑โลกของนิยาย เป็นโลกที่นิ่ง

ไม่ว่าจะมีตัวละครมากมายปานใด เราสามารถเข้าใจตัวละครเหล่านั้นได้

แต่โลกของเรา เป็นโลกที่เคลื่อนไหว

เราต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ทุกวัน เราไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนจะทำอะไร พวกเขาคิดอะไร เวลาโลกเปลี่ยน เราจะคิดไม่ถึงจริงๆ และเราจะอุทานว่า โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

ที่จริง มันเป็นเพียงอาการของโลกที่เคลื่อนไหว

ตัวเราตามมันไม่ทันเองต่างหาก

๑๒ โลกพระศรีอาริย์ เป็นโลกที่ผิดแน่นอน เพียงแต่มันผิดไปเท่าไร ผิดไปกี่เท่า

คำตอบคือ ในจักรวาลนี้ โลกพระศรีอาริย์ ผิดไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเท่า ขนาดของมันใหญ่มหึมา เกินกว่าที่เราจะวัดได้

คิดจนตัวตาย คิดจนร่างกายเหือดแห้ง เราก็ยังไม่อาจตามมันทันได้