การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ความเลวของฉันหรือ

“อีพี่”

พร้อมกับเสียงเรียก ได้กลิ่นบางสิ่งบางอย่างคุ้นจมูก แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าคืออะไร

ยินเสียงโคร้งเคร้งอยู่ในกระทะ พร้อมกับสำนึกได้ว่า พี่โฟกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว

อันที่จริง พี่โฟกลับมาแล้วอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย ใจฉันยังคิดว่าพี่โฟน่าจะล้มหมอนนอนเสื่ออีกพักใหญ่ ที่ไหนได้ กลับมาจากบ้านพ่อแม่ได้ไม่นาน

ก็เหมือนทุกขวัญทุกวิญญาณกลับเข้าร่างเดิมจนหมดสิ้น

“เอ้า! เสร็จแล้ว มึงมาเอาไป”

ขยับตัวลุกตามคำสั่ง ทิ้งปากกาทับหน้าสมุดที่วางบนลังกระดาษอีกที

“เร็วๆ”

นั่นไง เหมือนไม่ใช่คนที่เคยงอก่องอขิง ตะแคงมือซุกหว่างขา น้ำตาย้อยอาบหน้า

เหมือนว่าช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นแค่ความฝัน

…แต่มันอาจจะดีก็ได้นะ เวลาที่ไม่ต้องมีน้ำตากันอีก

“ระวัง กำลังร้อน”

เหมือนต้องคอยบอกกำกับไปเสียทุกอย่าง นั่นยิ่งเป็นการย้ำว่า ฉันคงจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว ความอ่อนแอของพี่โฟที่เคยปรากฏต่อตา

เช่นกัน…พี่โฟก็จะไม่ได้เห็นส่วนที่เป็นของฉันอีก

 

“มึงดูเลยว่านี่อะไร”

ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ พี่โฟวางถาดขันโตกลงบนโต๊ะญี่ปุ่นขาเหล็ก มันคือเฟอร์นิเจอร์ที่พี่โฟถนอมรักนักหนา ดูจากการเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาปูทับอย่างดี

ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ในมือฉัน ในจานแบนสังกะสี คือไข่ป่ามในใบตองแห้งเกรียม แลเห็นมะเขือส้มและพริกหนุ่ม หั่นเฉียงแฉลบเคล้าคลออยู่กับเนื้อไข่

และที่ว่า…คุ้นๆ จมูก คืออะไรสักอย่าง คล้ายๆ จะคุ้นเคย แต่ก็ไม่แน่ใจ

เป็นของกึ่งนิ่มกึ่งแห้ง ใส่มาในถ้วยน้อยคล้ายน้ำพริกสีตุ่นๆ

“แล้วนี่อะไรพี่”

“ตำกบ”

กลิ่นของมะแขว่นและมะเขือพวงเผาไฟชัดขึ้นในจมูกทันที และดึงให้ฉันจดจำได้ว่ามันคืออะไร

อาหารที่พ่อแม่ชอบ…

และพี่ๆ ทุกคนชอบ ยกเว้นฉัน

“มึงบ่ชอบกิน กูรู้ อีพี่”

พี่โฟยิ้มอย่างมีเลศนัย

“แต่กูจะบอกอะไรให้ ตำกบนี้จะไม่เหมือนที่มึงเคยกินมาก่อน กูโขลกน้ำพริกอย่างดี ปิ้งมันเสียสุก เอามาตำจนเนื้อฟู รับรองได้ว่าไม่คาวเลย”

“พี่ชอบก็กินไปสิ ดีเสียอีกไม่ต้องแย่งกันกิน”

“แต่กูตั้งใจทำให้มึงกิน” พี่โฟว่า “คู่กับไข่ป่าม ถึงเป็นของแห้งทั้งสองอย่าง แต่กินกับข้าวนึ่งนะ เผลอๆ มึงจะจกเอาๆ”

“ไม่เป็นไรพี่ ฉันกินอย่างเดียวก็ได้”

“มึงต้องกินกบไว้หน่อยอีพี่ ต้องบำรุงดีๆ หน่อย กบหน้านี้มีทั้งมันทั้งไข่ มึงจะได้สมบูรณ์มีเลือดมียางกับเขาบ้าง…”

ฉันมองหน้าพี่โฟทันที และที่สังหรณ์ใจไว้ก็เป็นจริง

 

“ถอดเฝือกแล้วก็ดีนะ”

มือใหญ่ลูบไล้ไปบนต้นแขนของฉัน สัมผัสที่เริ่มคุ้นเคยขึ้นทุกวัน ทว่าก็มีหลายครั้ง ฉันไม่ได้อยากอยู่กับร่างนั้นตลอดเวลา

“อือ ไม่เกะกะดี” ตอบตามอย่างเสียไม่ได้

“มานี่มะ”

ไม่รอให้ตอบรับหรือปฏิเสธ วงแขนที่แข็งกว่าคีมก็รวบตัวฉันขึ้นนั่งซ้อนตัก

และขยับอีกไม่กี่ครั้ง ฉันก็นั่งอยู่ในพันธนาการ

“เป็นอะไร ช่วงนี้อารมณ์ไม่ดีหรือยังไง”

“เปล่านี่…”

“แล้วทำไมไม่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ เฮียอีก ถ้าไม่เรียกก็ไม่มา…ทำอย่างวันนั้นอีกสิ…เฮียชอบ”

นั่นคือวันที่ฉันเพิ่งกลับมาจากบ้านพ่อแม่ และเป็นฝ่ายชวนนายจ้างให้ขึ้นไปชั้นบน

เพียงครั้งเดียวที่ฉันลองทำมัน และก็รู้ว่าในที่สุด นอกเหนือจากใบแดง กับความเสียวซ่านกระสันชั่วครั้งคราวเหล่านั้น

ฉันไม่ได้ต้องการชายผู้นี้เลย

และบางวัน แทบจะอยากหันหลังออกไปจากร้านหนังสือแห่งนี้

โดยไม่มีวันกลับมา

“สงสัยต้องบำรุงเสียหน่อยละ” นายจ้างพูดเองเออเอง “เธอจะได้มีน้ำออกเยอะๆ”

คำพูดที่ได้ยินจนเริ่มชินชา ทว่าบางวันมันก็ระคายหูสิ้นดี

 

และมีอยู่วันหนึ่ง ฉันเห็นจากหน้าต่างแลลอดไป จำร่างหนานั้นได้ ที่จอดรถเครื่องคันใหญ่ห่างจากหอเช่าอย่างตั้งใจ แล้วพี่โฟก็เดินเข้ามา สองคนพูดจาในสิ่งที่ฉันไม่ได้ยิน

แต่ทันเห็นว่า มีใบแดงแลบออกมา จากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง

“พี่โฟ” ฉันถามทันควัน เมื่อประตูเปิดออก

“เฮียเขามาทำไม”

“อะไร!” พี่โฟทำคล้ายจะไม่อยากต่อความ แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเสียง “อ๋อ เขาผ่านมาถามทาง”

“ทำไมต้องถามพี่”

“จะไปรู้มันรึ” ตัดบทอย่างรำคาญ “หลีก กูกลับมาเหนื่อยๆ จะขออาบน้ำก่อนละ แล้วนี่มันกลับมานานหรือยัง กูก็นึกว่าจะยังไม่กลับ”

“เพิ่งมาน่ะ”

“อ้าว มิน่า” สายตาของพี่โฟทำให้ฉันคิดได้ว่า

คนทั้งสองคงคิดว่าฉันจะอยู่ที่ร้านต่างหาก

“ก็เห็นมันว่ามึงเฝ้าร้านอยู่”

“ก็เฝ้าอยู่แหละ แค่กลับมาเอาของ”

“เอาอะไร”

“สมุด”

 

ถ้าฉันไม่ได้กลับมาเอาสมุด ก็คงไม่รู้ว่าแท้พี่โฟกับนายจ้างลักพบปะกันด้วย

และสิ่งที่ฉันสงสัย…ทั้งสองพบกันเรื่องอะไร ทำไมต้องให้เงินกับพี่โฟด้วย

เรื่องปะติดปะต่อขึ้นมา

ที่ออกปากนายจ้างมาวันนั้นแน่

“กินๆ หน่อยสิ กูน่ะตั้งใจทำให้มึงล้วนๆ”

“มันเป็นยาปลุกเซ็กซ์หรือพี่โฟ!”

“อะไรของมึง” พี่สาวร่วมพ่อมองหน้า แววตาแสดงความไม่เข้าใจชัดแจ้ง

และอาจเป็นครั้งแรก ที่ฉันคิดว่าพี่โฟไม่รู้จักคำนั้นจริงๆ

“อะไร? ปลุกเซ็กซ์ปลุกแซ็กอะไร!”

“ก็ที่พี่ทำตำกบมานี่น่ะ!” ฉันรู้สึกโกรธขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ “จะให้มันเป็นยาปลุกอารมณ์ฉันเหรอ!”

แต่หนนี้ พี่โฟยิ่งทำหน้าประหลาดใจเข้าไปอีก

“ปลุกอารมณ์อะไร อีพี่! ตำกบนี่นะ?”

แล้วพี่โฟก็เบิกตากว้าง

“อ๋อ…มึงคิดว่ากูจะใส่ยาปลุกอารมณ์ให้มึงรึ! อีชาติหมา อีปัญญาอ่อน!”

“ก็พี่รับสตางค์มันมา…ฉันเห็นนะ”

“สตางค์ใคร”

“ก็เฮียไง ที่เขาว่าต้องบำรุงฉันหน่อยละ พี่รับเงินมันมา จะหาของปลุกอารมณ์ให้ฉันกินใช่มั้ย!”

“มึงคิดยังงี้หรืออีพี่”

ฉับพลัน พี่โฟก็เพ่งจ้องตำกบในถ้วย แล้วค่อยๆ ยกมันขึ้นจากโต๊ะ

ก่อนจะขว้างมันเข้าข้างฝา

เสียงแตกเปรื่องก้องบาดหู

“มึงหยามน้ำใจกูมากไปแล้ว”

“…ก็พี่…”

“เออ กูออกปากขอยืมสตางค์มัน เพราะเห็นว่ามันก็เอากันเป็นผัวเมียกับมึง ขนาดว่าจะไปใส่ผีกันแล้ว ใช่ว่าตัวกูจะอยากอยู่ดักดานอย่างนี้ สตางค์จากน้ำ_ีมึง ใช่ว่ากูจะกินแล้วม่วนใจ๋ ให้กูเป็นฝ่ายยืมมันด้วยตัวเองเสียยังดีกว่า”

ไข่ป่ามบนโต๊ะเริ่มฟ่ามแฟบลง ข้าวนึ่งคลายความอุ่นจนหมดสิ้น

“เห็นมึงไปทำงานงกๆ อยู่กับมัน ไม่รู้มันจะทิ้งจะขว้างมึงวันไหน กูยังทำอะไรไม่ได้มาก ก็คิดว่าจะเยียะว่าเยียะกิ๋นรอท่ามึงบ้าง…กูรู้ว่ามึงบ่มักของกินหลายอย่าง ก็อยากจะลองทำให้ใหม่…อะไรที่คนเขาว่ามันมีโปรตีน กูก็อยากทำให้ เผื่อมึงพลาดมีท้องมีไส้ขึ้นมา…”

ฉันบอกไม่ถูกเลยว่า ความรู้สึกขณะนั้นเป็นอย่างไร

เหมือนแสบไหม้อยู่ในหน้า แล้วพลันถูกน้ำเย็นจัดราดรดเข้าใส่

ให้ชาจนยะเยือก

พี่โฟจะพูดความจริงหรือไม่ ฉันไม่อาจรู้ได้ แต่เพราะที่ไม่คิดว่าจะเห็นอีก ก็ได้เห็นอีก

เศษถ้วยที่กระจัดกระจายบนพื้น

ตำกบสีขุ่นดำ

ความเจ็บปวดอันไร้ชื่อซึ่งถาโถมเข้ามาในอากาศ

 

ฉันเคยคิดว่า เราสองคนจะไม่มีน้ำตากันอีกแล้ว เพราะเราจะต้องชินกันมากขึ้นเรื่อยๆ กับทุกอย่างที่จะต้องผ่านไป

แต่ยังกลับไม่ใช่เลย

แค่เรื่องห่าเหวอะไรไม่รู้หนึ่งอย่าง แค่อาหาร…สักอย่าง ก็ทำให้เกิดเสี้ยวแหลมคมขึ้นได้ภายในห้อง

ความโง่ของฉันหรือ ที่ปราศจากความไว้วางใจ

ความเลวของฉันหรือ ที่ไม่อาจมองทุกอย่างได้เหมือนเดิมอีก

ใบตองที่รองไข่ ไหม้ฉีกแล่งอยู่อย่างเดิมในจาน พี่โฟเพียงแค่อยากทำอาหารให้ฉันกิน เป็นของเหมือนที่เราเคยกินที่บ้าน

 

แต่มันเป็นความผิดของฉันหรือ

ที่ปราศจากความไว้วางใจ

ความเลวของฉันหรือ

ที่ไม่อาจมองทุกอย่างได้เหมือนเดิมอีก