ข่าว “ไอ้ห้อย-ไอ้โหน” ข่าวลือ “สนธิ” ทรุด และเชือด “คนขั้ว พท.”

ข่าวสารช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ดุเดือดเข้มข้น ตั้งแต่กรณีอดีต ส.ส.ปชป. ออกมาถล่ม “ไอ้ห้อย-ไอ้โหน” สอพลอขอตำแหน่งจากเผด็จการ จากกรณีที่สมาชิก สปท. ชงข้อเสนอกฎหมายลูก 4 ฉบับ ให้กระทรวงมหาดไทยมาช่วยจัดเลือกตั้ง รวมถึงให้ คสช. ช่วยคุมเลือกตั้ง

จึงเกิดการโต้ตอบ เมื่อ นายวันชัย สอนศิริ กรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. ลุกขึ้นโวยกลางสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เมื่อวันที่ 5 กันยายน ว่า เนื้อหาไม่ได้เป็นไปตามที่นำมาบิดเบี้ยวกัน ที่เสนอให้มหาดไทยเข้ามาจัดเลือกตั้งเป็นข้อเสนอของ นายวิทยา แก้วภราดัย สปท. ซึ่งเป็นอดีต ส.ส. หลายสมัยและสมาชิกก็เห็นด้วย ยืนยันว่าไม่ใช่การห้อยโหน คสช. แต่ต้องการให้งานออกมาดี

ขณะที่ นายวิทยา แก้วภราดัย สปท. กล่าวว่า เป็นคนเสนอให้มหาดไทยช่วยจัดการเลือกตั้ง และให้ คสช. ช่วยคุมการเลือกตั้ง เพราะเห็นว่า กกต. มีภารกิจมากเกินไป ไม่สามารถปราบปรามการซื้อเสียงได้

ข้อเสนอเหล่านี้เป็นแค่ตุ๊กตาตัวอย่างเท่านั้น

อีกข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังรวมถึงกรณีศาลฎีกาสั่งจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แห่งเครือผู้จัดการ-เอเอสทีวี 20 ปี จากการทำเอกสารเท็จ เพื่อกู้เงินพันล้านเศษ จากธนาคารกรุงไทย

ทำให้นายสนธิสิ้นอิสรภาพ กลายสภาพเป็นนักโทษไปทันทีตั้งแต่ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยคุมขังที่แดน 7 เรือนจำกลางคลองเปรม ร่วมแดนเดียวกันกับ นายวิโรจน์ นวลแข ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยที่ติดคุกในคดีปล่อยสินเชื่อ

ภาระของเครือผู้จัดการ ตกอยู่กับ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย ซึ่งในวันที่ 7 กันยายน เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ว่า นายสนธิสั่งการหลายเรื่อง โดยขอให้ตั้งสติและรักษาปณิธานที่จะต่อสู้เพื่อชาติและผลประโยชน์ของประชาชนเท่าที่จะทำได้

พร้อมฝากถ้อยคำและกำลังใจไปถึง นางจันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล ภรรยาของนายสนธิ ที่กำลังรักษาโรคมะเร็งอยู่ในห้องไอซียู

นายจิตตนาถกล่าวว่า นายสนธิแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่คิดจะหนี ไม่ยืดเยื้อคดี และน้อมรับการพิจารณาของศาล เพื่อคงความศักดิ์สิทธิ์ของศาล รวมถึงเพื่อให้ญาติพี่น้องและบริวารสามารถเชิดหน้าต่อสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ

พร้อมระบุว่าสื่อในเครือผู้จัดการและ news1 จะยังคงทำหน้าที่ต่อไปและสนับสนุนการเดินหน้าปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ รวมถึงการกำจัดคอร์รัปชั่น

ตามมาด้วยข่าวลือว่า นายสนธิเข้าไปล้มป่วยในเรือนจำ ร้อนถึง นายปฏิคม วงษ์สุวรรณ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ต้องเข้าไปยังเรือนจำกลางคลองเปรมเพื่อตรวจด้วยตนเอง และได้พูดคุยกับนายสนธิประมาณ 20 นาที พบว่านายสนธิมีอาการปกติ

อีกทั้งนายสนธิไม่ได้เรียกร้องอะไรจากทางเรือนจำเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางคลองเปรมมาก่อน และเริ่มปรับตัวได้

อีกข่าวที่สะท้านวงการเมืองอีกเช่นกัน เป็นการชี้มูลความผิด 3 นักการเมืองพรรคเพื่อไทย ที่ร่วมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่ยกเลิกไปแล้วหลังการรัฐประหาร 2557 โดย ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา

โดย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิด นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กรณีเสียบบัตรแทนคนอื่น ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และส่งรายงานให้ สนช. มีมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง

อีกรายคือ นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กรณีสลับร่างรัฐธรรมนูญ ส่ง อสส. ฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ และส่ง สนช. เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง

และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร รู้เห็นให้สลับสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ตรวจสอบให้ถูกต้องตามหน้าที่ของประธานรัฐสภา ไม่สั่งให้นำเสนอสมาชิกรัฐสภา ร่วมลงชื่อรับรอง จงใจนับระยะเวลาแปรญัตติย้อนหลัง ทำให้เหลือระยะเวลาแปรญัตติเพียง 1 วัน ส่งเรื่องให้ อสส. เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ต่อไป

กรณีนายสมศักดิ์ สนช. ได้พิจารณาและมีมติไม่ถอดถอนไปแล้ว จึงเห็นควรไม่ส่งรายงานในความผิดถอดถอนไปยังประธาน สนช. อีก

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีก 2 คน คือ นายคมเดช ไชยศิวามงคล อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ และ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย พยานหลักฐานไม่เพียงพอ มีมติว่า บุคคลทั้งสองไม่มีความผิด ให้ข้อกล่าวหาตกไป

อีกคนที่จ่อรอการพิจารณาถอดถอน โดยที่ประชุม สนช. ในวันที่ 16 กันยายนนี้ ได้แก่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

จากกรณี ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า ใช้อำนาจแทรกแซงในการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม โดย สนช. ได้ประชุมพิจารณาซักถามคู่กรณี เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา

โดน น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้แจงต่อ สนช. ว่า ขั้นตอนการแต่งทหารชั้นนายพล แต่ละหน่วยต้องคัดเลือก และลงนามรับรอง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการระดับกระทรวงที่มี รมว.กลาโหม เป็นประธานพิจารณา แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ใช้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวก่าย โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ได้เสนอชื่อ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผช.ผบ.ทบ. ข้ามหน่วยมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามหลักจะต้องพิจารณาคนในหน่วยก่อน

ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงว่าในฐานะกรรมการคนหนึ่ง สามารถเสนอชื่อใครก็ได้ ซึ่งได้เสนอชื่อ 2 คน แต่ที่ประชุมมีมติเลือก พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าการแต่งตั้งเป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอน

จะมีการแถลงปิดคดีด้วยวาจาในวันที่ 15 กันยายน และลงมติถอดถอนในวันที่ 16 กันยายน

แม่ลูกจันทร์ แห่งสำนักข่าวหัวเขียว ไทยรัฐ เขียนในคอลัมน์ฉบับ 13 กันยายน ว่า ถ้าการเห็นชอบให้ทหารย้ายข้ามห้วยเป็นความผิดร้ายแรง รมว.กลาโหมจากอดีตถึงปัจจุบันคงโดนถอดถอนกันระนาว

เพราะมีโยกย้ายทหารข้ามห้วยเกือบทุกปี

ก่อนจะระบุว่า ที่ พล.อ.อ.สุกำพล เสนอ พล.อ.ทนงศักดิ์ ข้ามห้วย ก็เพื่อเปิดทางโล่งให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร น้องรักบิ๊กตู่ ขยับจากแม่ทัพภาคที่ 1 เป็น 5 เสือ ทบ. จ่อคิวเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป

พูดง่ายๆ ว่า พล.อ.อ.สุกำพล ช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ตอนนั้น จัดโผย้ายได้สะดวก ไม่ใช่ก้าวก่าย

และที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ลงมติ 4-1 ให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ ย้ายข้ามห้วย

ถ้าไม่เชื่อให้ถามอดีต ผบ.ทร., อดีต ผบ.ทอ. ที่อยู่ใน สนช. หรือถามบิ๊กตู่ กับบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีต ผบ.สส. ที่นั่งประชุมอยู่ด้วยกัน

นั่นคือแง่มุมน่าสนใจจาก “แม่ลูกจันทร์”

สนช. จะลงมติอย่างไร เป็นข่าวต้องติดตามกันต่อไป