เรื่องสั้น : ปรองดอง (1)

มันเป็นพื้นที่ว่างติดถนนสายหลัก เนื้อที่ประมาณสิบสองไร่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีบึงน้ำขนาดใหญ่ เฮียปอมีความคิดอยากพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางผ่านไปจังหวัดอื่น โดยแนวคิดหลักคือนำสินค้าแต่ละภาคมาจำหน่ายแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น โซนเหนือ อีสาน กลาง และใต้ โซนละห้าสิบร้าน ผมกับภรรยาขายกาแฟสด ชาไข่มุก และน้ำผลไม้ปั่น ร้านตั้งอยู่โซนกลาง

นาฬิกาแขวนบนผนังบอกเวลาเก้าโมงเช้า ขณะภรรยากำลังจัดเตรียมของ มีเสียงตามสายแจ้งว่า

“เรียนผู้ค้าทุกท่าน วันนี้เวลาบ่ายโมง ขอเชิญตัวแทนแต่ละร้านมาที่หน้าสำนักงาน เฮียปอมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบ” น้ำเสียงเป็นหญิง ราบเรียบ เว้นช่วงระหว่างคำ ประกาศทวนสองครั้ง

เฮียปอคือเจ้าของพื้นที่วัยเจ็ดสิบกว่า ภรรยาจากไปนานแล้ว มีลูกชายหนึ่งคนชื่อป้อม ป้อมประกอบธุรกิจในต่างประเทศ สองสามเดือนจะกลับมาสักครั้งหนึ่ง ยินข่าวว่าเฮียปอมีลูกนอกสมรสอีกหนึ่งคนแต่ไม่มีใครเคยเจอ ป้อมเป็นชายร่างอ้วนพุงพลุ้ยแบบผู้มีอันจะกิน วัยประมาณสี่สิบ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ป้อมไม่ใช่คนดูดีแบบที่ใครต้องหันมอง แต่สิ่งสะดุดตาคือสร้อยคอเส้นใหญ่ที่แลบออกจากคอเสื้อและแหวนเพชรวงโตที่นิ้วมือขวา พวกเราจึงเรียกว่าเสี่ยป้อม

ผมมาก่อนเวลานัดห้านาที บริเวณหน้าสำนักงานมีผู้ค้าทยอยมากันแล้วรวมทั้งพี่ตูนและคุณมาลาด้วย ผมเดินเข้าไปทักพี่ตูนแต่ไม่ทันจะสนทนาต่อ ประตูสำนักงานถูกเลื่อนออก เฮียปอนั่งบนรถเข็นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงผ้าฝ้ายสีขาว รองเท้าหนังมีพู่ห้อยออกมา เส้นผมขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น มีแววตาของคนที่ผ่านโลกมามาก บุคลิกเชื่องช้าน่าเกรงขาม ร่างกายซูบผอมแต่ดูสดชื่น เฮียปอเพิ่งประสบอุบัติเหตุล้มในห้องน้ำทำให้กระดูกสะโพกหัก หลังผ่าตัดก็ไม่สามารถเดินได้

ทันทีที่รถเข็นหยุดตรงหน้า ทุกคนยกมือไหว้ ไมโครโฟนไร้สายถูกส่งต่อ เฮียปอเคาะเบาๆ แล้วพูดขึ้น

“เข้าสู่ปีที่เจ็ดแล้ว ขอบใจทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ระยะหลังสุขภาพเฮียไม่ค่อยแข็งแรง เดินไม่ได้อย่างที่พวกเราเห็น หมอบอกให้หยุดทำงานแต่ยังห่วงพวกเราอยู่ จะหวังพึ่งป้อมเขาก็มีธุรกิจต้องดูแล จะตั้งใครขึ้นมาแทนก็กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ

“ที่เรียกพวกเรามาวันนี้ เพื่อสอบถามว่าถ้าเฮียจะจัดให้มีการเลือกตั้งคนที่เข้ามาดูแลตลาดแทนเฮีย พวกเรามีความเห็นว่าอย่างไร”

เพื่อง่ายต่อการเที่ยวชมของนักท่องเที่ยวว่าตนเองอยู่โซนไหน ทางตลาดตกแต่งผนังด้วยโทนสีต่างๆ รวมทั้งกางร่มผ้าใบขนาดใหญ่บริเวณจุดนั่งพัก โซนเหนือใช้สีแดง โซนอีสานใช้สีเขียว โซนกลางใช้สีเหลือง และโซนใต้ใช้สีฟ้า โซนเหนือจำหน่ายสินค้าแกะสลัก เครื่องเงิน ผ้าไหม ร่มพื้นเมือง โซนกลางจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์หวาย เครื่องประดับ กระเป๋าสาน โซนอีสานจำหน่ายผ้าไหมมัดหมี่ เทียนหอม หมอนอิง ส่วนโซนใต้จำหน่ายผ้าบาติก เรือไม้จำลอง และผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว

หากใช้โดรนมองจากมุมสูง ทางซ้ายเป็นลานจอดรถ บนลานจอดเป็นที่ตั้งสำนักงาน มีพนักงานประจำแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆ เช่น ธุรการ บัญชี การตลาด ซ่อมบำรุง แม่บ้าน และรักษาความปลอดภัย ทางขวาคือโซนร้านค้า แบ่งเป็นสองอาณาเขตมีบึงน้ำคั่นกลาง บนเป็นโซนเหนือและอีสาน ล่างเป็นโซนกลางและใต้ ใช้สะพานไม้เป็นตัวเชื่อม ริมบึงตลอดแนวยาวมีเรือขายอาหารจอดเรียงราย อาทิ เรือขายหมูย่าง เรือขายเนื้อจระเข้ปิ้ง เรือขายผัดไทเรือขายขนมจีน เรือขายข้าวเหนียวมูนหน้าต่างๆ เรือขายกาแฟโบราณ และเรือขายผลไม้ตามฤดูกาล

เรือเหล่านี้มาจากแนวคิดของเฮียปอที่อยากสร้างเอกลักษณ์วิถีชีวิตคนสมัยก่อน เฮียปอมีเรือโบราณหลายลำที่ไม่ได้ใช้งาน จึงนำมาซ่อมแซมแล้วเชื้อเชิญให้พ่อค้าแม่ค้าละแวกนั้นเอาสินค้ามาขาย จ่ายค่าเช่ารายสัปดาห์

เป็นการสร้างโอกาสและรายได้ให้พวกเขา ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวถ่ายรูปและแชร์ในสื่ออินเตอร์เน็ตจำนวนมาก

สิ้นเดือนหน้าจะมีการเลือกตั้ง เฮียปอให้แต่ละโซนส่งตัวแทนหนึ่งคนเข้าร่วม และเป็นไปอย่างที่คิด คุณมาลาเป็นตัวแทนโซนเหนือ ส่วนพี่ตูนเป็นตัวแทนโซนใต้ ทั้งสองคือผู้ค้ารายแรกๆ ตั้งแต่สมัยตลาดเปิด มีความใกล้ชิดและรู้ปัญหา แม้อุดมการณ์ทั้งสองจะต่างกัน คุณมาลามีแนวคิดก้าวหน้าอยากพัฒนาตลาดไปสู่ยุคดิจิตอล 4.0 ส่วนพี่ตูนมีแนวคิดอนุรักษนิยมอยากรักษารูปแบบดั้งเดิมของตลาดไว้

ก่อนมาเปิดร้านที่นี่ ผมกับภรรยาทำงานบริษัทเดียวกันในย่านนี้ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจถดถอยบริษัทปิดตัวลง ได้เงินชดเชยมาจำนวนหนึ่ง ภรรยาอยากเปิดร้านกาแฟจึงไปเรียนหลักสูตรบาริสต้าเพิ่ม วันหนึ่งเรามาเที่ยวที่นี่เห็นประกาศหน้าสำนักงานเขียนว่ามีร้านค้าให้เช่าจึงเดินมาดู ภรรยาสนใจทันทีเพราะติดริมน้ำอีกทั้งสนนราคาค่าเช่าไม่สูงนัก ภรรยาวางคอนเซ็ปต์ร้านเป็นแนววินเทจใช้โทนสีขาวในการตกแต่ง เลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนเน้นเรียบง่ายดูอบอุ่น มีมุมหนังสือและโซฟาตัวใหญ่ สร้างบรรยากาศด้วยการเปิดเพลงคันทรี บลูส์ และฟิวชั่นแจ๊ซ ร้านเปิดมาได้สองปีกว่า กิจการพอไปได้

หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้สมัครโซนกลางและอีสานประกาศถอนตัว ให้เหตุผลว่าสู้ไปก็แพ้และอยากเอาเวลาทำมาหากินมากกว่า ตอนนี้จึงเหลือผู้สมัครเพียงสองคนคือพี่ตูนกับคุณมาลา

ผมค่อนข้างสนิทกับพี่ตูนเพราะร้านอยู่อาณาเขตเดียวกัน พี่ตูนขายผ้าบาติกอยู่โซนใต้มีลูกน้องหนึ่งคน ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมือง พี่ตูนเห็นว่าตลาดของเราก็เหมือนประเทศชาติ บางอย่างต้องอนุรักษ์ บางอย่างต้องแก้ไข ไม่ควรปรับเปลี่ยนตามกระแสจนเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิม พี่ตูนในวัยสี่สิบกว่า รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ บุคลิกจริงจังตรงไปตรงมา เต็มล้นด้วยอุดมการณ์และรักความถูกต้อง

บ่ายโมงตรงของทุกวัน ผมจะช่วยพี่ตูนเดินหาเสียงโดยขออนุญาตภรรยาก่อน หล่อนไม่ว่าเพราะอยากให้พี่ตูนได้รับเลือก พี่ตูนทักทายผู้ค้าโซนต่างๆ รวมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะ ได้ผลตอบรับค่อนข้างดีแม้ในโซนที่ไม่ใช่ฐานเสียงอย่างโซนเหนือและอีสาน เมื่อเดินผ่านหน้าร้านคุณมาลา ผมเห็นชายฉกรรจ์หลายคนอยู่ในร้าน แต่งตัวเหมือนพวกมือปืนในภาพยนตร์ต่างประเทศ คุณมาลาเข้ามาทักพี่ตูน ยื่นเอกสารให้แล้วพูดว่า

“เดี๋ยวผมไปดึงคะแนนโซนคุณบ้าง!”

คุณมาลาในวัยห้าสิบกว่า ร้านตั้งอยู่โซนเหนือ ขายไม้แกะสลัก สินค้าโอท็อป และของตกแต่งบ้าน จบการศึกษาจากต่างประเทศ บุคลิกโอ้อวด หัวก้าวหน้า นิสัยใจร้อน ชื่นชอบที่ดินและอาวุธปืน มีภรรยาเป็นคนรัสเซียพูดไทยชัดเจนเพราะอยู่เมืองไทยหลายปี ได้สัญชาติไทยแล้วโดยการช่วยเหลือของเฮียปอ เปิดบริษัทส่งออกสินค้าไทยไปรัสเซียโดยผ่านเครือข่ายที่นั่น

อีกทั้งยังประกอบธุรกิจด้านความงามและสปาในเมืองท่องเที่ยวติดทะเล กิจการไปได้ดี เห็นว่ามีกำไรปีละหลายสิบล้านบาท!

ก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวัน เฮียปอจัดให้มีการประชันวิสัยทัศน์ระหว่างพี่ตูนกับคุณมาลา ใช้พื้นที่หน้าสำนักงานตั้งเวทีขนาดเล็กพร้อมเครื่องขยายเสียง วางเก้าอี้พลาสติกหลายตัวเป็นแนวยาว ได้รับความสนใจจากผู้ค้าและนักท่องเที่ยวในละแวกนั้น กินลามพื้นที่เกือบครึ่งของลานจอดรถ

แม้พี่ตูนจะพูดไม่เก่งเท่าคุณมาลา แต่จากการดูอภิปรายในสภาบ่อยครั้งทำให้มีลีลาและน้ำเสียงน่าฟัง ยินเสียงปรบมือดังเป็นระยะในจังหวะที่พูดถูกใจ ส่วนคุณมาลาเมื่ออยู่บนเวทีรังสีนักการเมืองแผ่เต็มตัว พูดโน้มน้าวใจได้ดี ผมเหลียวมองรอบกายเห็นผู้ค้าเรือขายอาหารหลายคนมาร่วมฟังด้วย แม้ไม่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเพราะเฮียปอจำกัดเฉพาะร้านที่เช่ารายเดือนเท่านั้น แต่ไม่ว่าพี่ตูนหรือคุณมาลาได้รับเลือกย่อมส่งผลต่อพวกเขาเช่นกัน

นโยบายหลักของพี่ตูนคือให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการร่วมตัดสินใจรวมถึงผู้ค้าเรือขายอาหารด้วย รับฟังข้อเสนอแนะ เคารพความคิดต่าง ลดช่องว่างระหว่างร้านเล็กกับร้านใหญ่ จัดตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับลูกหลานในตลาด รักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิม สร้างพื้นที่สีเขียวโดยการปลูกต้นไม้เพิ่มในโซนต่างๆ รวมทั้งน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาปรับใช้ คืออยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและพอเพียง

ส่วนนโยบายคุณมาลาคือเปลี่ยนแปลงตลาดสู่สากล นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย สร้างจุดสนใจให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญ สร้างตลาดนัดติดแอร์โดยนำสินค้าหลากหลายประเภทมาจำหน่าย เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ สินค้าไอที ผลิตภัณฑ์ความงาม ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ ช่วงเทศกาลเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยมีสโลแกนหลักว่า “ก้าวข้ามสิ่งเก่า เพื่อเดินหน้าสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า”

ผู้ได้รับเลือกจะมีอำนาจบริหารตลาดเป็นเวลาสี่ปี มีงบประมาณให้จัดสรรโดยเก็บจากค่าเช่ารายเดือนและผู้ค้าเรือขายอาหาร สร้างกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตลาดได้อย่างเต็มที่ หากเกิดกรณีที่ผู้ค้าไม่พอใจสามารถรวบรวมรายชื่อ ถ้าได้เกินกึ่งหนึ่งเฮียปอจะจัดให้มีการประชุมซักถาม เฮียปอเชื่อว่าอำนาจที่มาจากเสียงส่วนใหญ่คืออำนาจบริสุทธิ์ทำให้ตลาดเจริญรุ่งเรือง แต่ทุกคนต้องอยู่ในกฎกติกาที่ร่วมกันสร้าง

แม้นโยบายทั้งสองจะต่างกันแต่ก็มีข้อดีข้อเสียทั้งคู่ ในโลกที่มีการแข่งขันสูง การไม่ปรับตัวเลยเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่หากปรับเปลี่ยนจนเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ฉะนั้น ทางสายกลางน่าจะเป็นคำตอบ คงอยู่ที่ผู้ค้าในตลาดแล้วว่าอยากให้ตลาดเดินไปในทิศทางไหนเพราะแต่ละร้านก็มีหนึ่งคะแนนเสียงเท่ากัน

หลังจบการประชันวิสัยทัศน์ ผมกลับมาที่ร้าน เล่าเหตุการณ์ให้ภรรยาฟัง เมื่อฟังจบหล่อนบอกอยากกินส้มตำไก่ย่าง ผมอาสาเดินไปซื้อให้ในโซนอีสาน ตั้งใจผ่านหน้าร้านคุณมาลา เหลือบมองเข้าไปเห็นคุณมาลากำลังสั่งงานลูกน้องอย่างเคร่งเครียด จึงเดินเลี่ยงออกมา

กระดาษลงคะแนนถูกหย่อนลงในช่อง บริเวณหน้าสำนักงานถูกดัดแปลงเป็นสถานที่เลือกตั้งชั่วคราว ผู้ค้าเริ่มทยอยมาลงคะแนนเรื่อยๆ ผมเดินกลับร้าน จนเมื่อเข็มนาฬิกาบนผนังบอกเวลาบ่ายสามโมง ผมมาที่หน้าสำนักงานอีกครั้ง เห็นพี่ตูน คุณมาลา และเสี่ยป้อมอยู่ก่อนแล้ว

เจ้าหน้าที่ทำเครื่องหมายกากบาทบนกระดานไวต์บอร์ดที่แบ่งเป็นสองช่อง ผ่านไปสามสิบนาที เครื่องหมายในช่องคุณมาลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อการนับคะแนนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่รวมผล ส่งกระดาษแผ่นเล็กให้เสี่ยป้อมพร้อมไมโครโฟนไร้สาย เสี่ยป้อมรับมาและพูดขึ้น

“ขอสรุปผลการเลือกตั้งดังนี้ ร้านที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้นสองร้อยร้าน มาใช้สิทธิ์หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดร้าน ผู้สมัครโซนเหนือได้หนึ่งร้อยยี่สิบสามคะแนน ผู้สมัครโซนใต้ได้ห้าสิบสองคะแนน บัตรเสียสอง และไม่ลงคะแนนหนึ่ง สรุปผู้สมัครโซนเหนือชนะ ขอแสดงความยินดีด้วย”

หลังทราบผลคะแนนอย่างเป็นทางการ คุณมาลาและผู้ค้าโซนเหนือรวมทั้งโซนอีสานบางส่วนต่างโห่ร้องยินดี แม้จะผิดหวังแต่ก็ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ พี่ตูนเดินเข้าไปหาคุณมาลา ทั้งสองจับมือกัน ไม่นานก็แยกย้าย