‘โรม’โพสต์ น่าตลกร้าย แค่อยากเลือกตั้ง ก็ถูกฟ้องข้อหาร้ายแรง ไม่หวั่น บอกพบกันเร็วๆ นี้

กรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ 1.นายรังสิมันต์ โรม, 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์, 3.นายกาณฑ์ พงษ์ประพันธ์ , 4.นายอานนท์ นำภา, 5.นางสางณัฏฐา มหัทธนา และ 6. นายสุกฤษณ์ เพียรสุวรรณ หรือบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดข้อหา ร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนคนตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป และร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธี อื่นใด อันมิใช้เป็นการกระทำ ภายในความมุ่งหมาย แห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชม โดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เหตุเกิดวันที่ 10 ก.พ.61 บริเวณข้างร้านสเต๊กติดมัน และบริเวณถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

 

วันนี้ (16 ก.พ.) นายรังสิมันต์ โรม โพสต์ข้อความแสดงความเห็นบนเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome ระบุว่า (1) มันเป็นความน่าเศร้าปนความตลกร้ายที่ยุคนี้สมัยนี้การพูดว่าต้องการการเลือกตั้งและไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจของกลุ่มคนที่อยากเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 27 ม.ค. หรือ 10 ก.พ. ได้ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาที่ร้ายแรงตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่อยู่ในหมวดความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร แม้ว่าข้อหานี้อาจจะไม่รุนแรงถึงขนาดเป็นกบฏซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่ามาก แต่ก็ทำให้บุคคลที่ตกอยู่ภายใต้ข้อหาที่รุนแรงเช่นมาตรา 116 ย่อมเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐที่น่าสะพรึงกลัว

ความลักลั่นของการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนที่อยากเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา และครั้งนี้ คือ ผู้ที่แจ้งความดำเนินคดี คือนายทหารที่ปฏิบัติภารกิจรับใช้รัฐบาลที่มาโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 113 มีความผิดฐานกบฏ  ช่างน่าตลกร้ายเสียจริงๆ

(2) การดำเนินคดีทั้งสองครั้งที่ผ่านมาของ คสช. สะท้อนให้เห็นว่า คสช. ต้องการใช้กฎหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์เข้าสู่กระบวนการ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้   (3) ในประเทศไทยมีคนจำนวนมากที่เข้าเกณฑ์ที่สามารถเลือกตั้งได้แล้วทั้งสิ้นประมาณ 6,188,766 หรือ 10.7% ของประชากรทั้งประเทศ (ไม่นับ 2 กุมภาที่เป็นการเลือกตั้งที่ล้มเหลว) ซึ่งน่าเสียดาย ที่คนเหล่านี้กลับไม่มีโอกาสที่จะได้เลือกผู้แทนของตนเองเข้าสู่สภา ทั้งๆ ที่สิทธิเลือกตั้งมันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงชนชาวไทยที่เรามีมาอย่างยาวนาน และดูเหมือนว่าหากพวกเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ จำนวนประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งๆ ที่มีสิทธิแล้วคงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยอีกเป็นแน่

(4) สิ่งที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งทั้งในวันที่ 27 ม.ค. และ 10 ก.พ. เป็นข้อเรียกร้องที่ คสช. ได้สัญญาเอาไว้แล้วไม่ว่าจะทั้งในไทยหรือต่างประเทศ เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าการเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นในปีนี้ ข้อเรียกร้องของพวกเราจึงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การให้ คสช. รักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนและนานาชาติ ส่วนข้อเรียกร้องเรื่องการไม่สืบทอดอำนาจ ก็เป็นข้อเรียกร้องที่รัฐบาลที่รัฐบาลทหารอย่าง คสช. ไม่ได้มีความชอบธรรมอะไรใดๆพึงจะทำอยู่แล้ว ในทางกลับกัน การที่ คสช. ไล่จับและดำเนินคดีกับประชาชนที่อยากเลือกตั้ง ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าการเลือกตั้งคงไม่เกิดในเร็ววัน และเป็นการย้ำว่า การสืบทอดอำนาจคงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา ขอปิดท้ายสั้นๆว่า เราจะยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อทวงสิทธิความชอบธรรมขั้นพื้นฐานของประชาชน และหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ต่อไป  แล้วเราจะได้พบกันในเร็วๆ นี้ กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง