โลกหมุนเร็ว/บ้านคือวิมาน และการลงทุนของเรา

เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
[email protected]

บ้านคือวิมาน
และการลงทุนของเรา

ข่าวกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาคว้าได้ที่ดินสถานทูตอังกฤษในราคากว่าหมื่นล้านกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้คนสนใจ และเป็นไปตามคาดหมาย เพราะกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้จับจองพื้นที่ทำธุรกิจแถบหัวถนนสุขุมวิท-ชิดลมอยู่แล้ว
ข่าวนี้มีความหมายทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขาย
สำหรับเซ็นทรัลมองเห็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง
และสำหรับสหราชอาณาจักรอังกฤษ เงินหมื่นล้านบาทที่เข้าคลังไปก็สำคัญกว่าภาพลักษณ์เดิมๆ ของความเกรียงไกร
เราคงต้องติดตามต่อไปว่าสถานทูตอังกฤษจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างไร

เรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มีมุมมองทั้งของผู้ซื้อและผู้ขาย
ในวงการอสังหาริมทรัพย์คำว่า สถานที่ตั้ง หรือ ” the address” เป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าคุณบอกใครๆ ว่ามีนิวาสสถานอยู่บนถนนวิทยุ มันย่อมไม่เหมือนกับบอกว่าคุณอยู่แถวบางบัวทองแน่นอน
เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีข่าวฮือฮาถึงอพาร์ตเมนต์สุดหรูบนถนนวิทยุของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าว่ามีราคาประมาณยูนิตละ 70 ล้าน นั่นก็หมายความว่า ถ้าคุณบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ เขาก็รู้ทันทีว่า “คุณคือใคร”
the address หรือสถานที่ตั้งบ่งบอกและกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ซะยิ่งกว่ารูปลักษณ์และราคาของอาคารเองซะอีก
อย่างที่นิวยอร์ก ถ้าคุณบอกว่ามีอพาร์ตเมนต์ที่มองออกไปเห็นเซ็นทรัลพาร์ก มันก็ย่อมไม่ธรรมดา ไม่ว่ามันจะขนาดเล็กแค่ไหน และสร้างมากี่ปีแล้ว สถานที่ที่คุณอยู่มันก็คือหน้าตา
และนอกจากหน้าตา ก็คือราคาที่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เพื่อนของผู้เขียนมีบ้านอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 โดยเมื่อเข้าซอยไปก็แยกเข้าซอยเล็กอีกหน่อย มีผู้มาขอซื้อในราคา 200 ล้าน ฟังแล้วเราก็ถึงกับอึ้งไป บ้านนี้เธออยู่มาตั้งแต่เกิด คาดไม่ถึงว่าราคาจะขึ้นไปขนาดนี้ได้

นอกจากการเป็นเครื่องเชิดชูหน้าตา อสังหาริมทรัพย์ก็คือการลงทุน ยุคนี้คนจีนกำลังรวยเอารวยเอา หอบเงินไปลงทุนในประเทศต่างๆ นอกจากเรื่องลงทุนธุรกิจแล้ว แน่นอนก็ต้องลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วย
อพาร์ตเมนต์ในซอยข้างบ้านผู้เขียน ซึ่งเป็นซอยย่อยบนถนนสุทธิสาร สร้างเสร็จก็ขายในราคา 30 ล้านบาท ก็จะใครซื้อล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนจีน แป๊บเดียวขายเกลี้ยง
คนจีนที่หอบเงินมาซื้ออสังหาฯ ที่เมืองไทยเป็นนักธุรกิจขนาดกลางและย่อม ส่วนคนจีนอีกกลุ่มที่รวยกว่าก็ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่นี่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันเข้มงวดของรัฐบาลจีน และสิงคโปร์ยังเป็นประเทศซึ่งมีความสะดวกและเจริญลำดับต้นๆ ของโลก เป็นศูนย์รวมธุรกิจในภาคพื้น
เปรียบได้กับฮ่องกงในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ แต่บัดนี้ตั้งแต่ฮ่องกงมาอยู่ใต้บังคับของจีนก็ซบเซาลง
เมื่อเร็วๆ นี้ Wealth Manager ของจีนที่ดูแลพอร์ตทรัพย์สมบัติของอภิมหาเศรษฐีจีนทั้งหลายนั่งประชุมกันว่าจะแนะนำให้ลูกค้าลงทุนอะไรดี
อภิมหาเศรษฐีจีนนั้น ขณะนี้เป็นผู้กุมความมั่งคั่งจำนวน 5.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้จะนำไปลงทุนนอกประเทศ
การนำเงินมาลงทุนในสิงคโปร์มีข้อดีที่ว่าทางการจีนไม่สามารถมาตรวจสอบได้
ดังนั้น การลงทุนที่สิงคโปร์จึงมีแต่จะเพิ่มขึ้นในขณะที่ที่ฮ่องกงย่อมจะลดลงเพราะทางการจีนตรวจสอบได้

จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ปรากฏว่าสถานที่ที่มหาเศรษฐีจีนต้องการนำเงินไปลงทุนลดลงจาก 71% เป็น 53% สำหรับฮ่องกง ส่วนของสิงคโปร์เพิ่มจาก 15% เป็น 20% มีนักวิเคราะห์บางคนให้สมญาสิงคโปร์ว่าเป็น Zurich of the East ไปแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่สิงคโปร์เป็นสังคมที่มีคนพูดจีนกลางกัน จีนกลางหรือจีนแมนดารินเป็นหนึ่งในภาษาทางการของสิงคโปร์ ที่นี่ยังมีโรงเรียนนานาชาติมาตรฐานระดับโลก แถมให้อีกเรื่องคือความปลอดภัยและความมีระเบียบ
นอกจากนี้ ยังมีเศรษฐีจีนบางคนจินตนาการสุดโต่งว่าหลังจากที่พวกเขาเคยกลัวความยากจนในยุคคอมมิวนิสต์ เขาอาจจะต้องกลับไปเจอสภาพนั้นอีกก็เป็นได้ ในใจคงกำลังนึกถึงนโยบายอันเด็ดขาด ดุดัน ของสีจิ้นผิง ก็เป็นได้
มีเงิน มีทางเลือก ก็ว่ากันไปนะคะ