ร่วม”ย่ำ”ระฆัง : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร0
————–
ร่วม”ย่ำ”ระฆัง
——————

มีคนเปรย ต้องสวดมนต์ทุกคืน ให้ คสช.อยู่รอด
ฟังแล้วก็เห็นใจอยู่
เพราะชวนให้นึกถึงบรรยากาศสวดมนต์ผสานระฆังย่ำค่ำ
“วังเวง”หัวใจสิ้นดี
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่ว่าแทบมลายหายไป
เมื่อเหลียวมองไปยังห้องประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในวันพิจารณาพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง
ด้วยเห็น”กองหนุน”ที่เหลืออยู่ พากัน ย่ำระฆังกันมันมือ
ความวังเวง หายไปนะใช่ แต่ที่มาแทบคือ”หนวกหู”
หนวกหูกับเหตุผลที่พากันยกมาเพื่อยืดเวลาประกาศใช้พ.ร.ป. ออกไป
บางคน “ตกมัน”ถึงขนาดเสนอให้เลื่อนไป 5 ปี เลยทีเดียว
ถือเป็น”กองหนุน”ชั้นเยี่ยม เมื่ออยาก “อยู่นานๆ” จะไปกระมิดกระเมี้ยน ทำไม
เอาให้สุดสายป่านๆไปเลย
มิใช่แค่สนช. กระทรวงต่างประเทศ ในยุคนี้ก็สุดยอด
เจ้ากระทรวงสามารถ แยกแยะประเด็นได้อย่างเฉียบขาด ว่า การยืดการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นเรื่องของสนช. ที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนนายกฯ เป็นฝ่ายบริหาร เป็นคนละส่วนกัน
“เขา(ต่างประเทศ)ตั้งคำถามได้เสมอ แต่เรามีหน้าที่อธิบาย โดยพื้นฐานแล้วเขาคงต้องฟังบ้าง โดยดูจากพัฒนาการต่างๆ ภายในประเทศนั้นๆ ว่า มีสิ่งที่เป็นบวกต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหน ถ้าโดยรวมแล้วประชาชนได้ประโยชน์ และตราบใดที่ไม่มีเลือดตกยางออก จะไม่เป็นเหตุให้ประเทศอื่นๆ นำเอามาเป็นประเด็น”
นั่นคือคำอธิบาย ไม่รู้ว่ากลับบ้านต้องใช้ยาทาสีข้างกี่ขวด
เผลอๆอาจต้องกินยาแก้ช้ำในด้วย เมื่อเจอ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำไทย ตอบซื่อๆกลับมา
“จุดยืนสหรัฐอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐฯยินดีที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้แสดงพันธกรณีต่อสาธารณชน ในการที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นไม่เกินเดือนพฤศจิกายนนี้”
ขณะที่นายเปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนสหภาพยุโรป(อียู) ประจำประเทศไทย ย้อนนิ่มนวลว่า
“อียูเข้าใจดีถึงความแตกต่างระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นฝ่ายอำนาจที่จำเป็นและเป็นอิสระในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่สหภาพยุโรปสนับสนุนการกลับคืนสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ไม่รู้ว่าคำนิ่มๆนี้จะทะลวง”ความหนา”ผิวหนังของใครได้บ้าง
แต่ในฐานะชาวบ้าน รู้สึกผ่าวๆที่หน้าอย่างไรไม่รู้
นี่ยังไม่รวมกระทรวง”บัวแก้ว”ออกแถลงการประณาม ฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่ทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยประจำปีค.ศ.2018
ที่แฉว่าไทยยังไม่มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ขาดกระบวนการการตรวจสอบอำนาจ
กระทรวงต่างประเทศไทย โต้ว่า รายงานนี้เหมารวม ขาดพยานหลักฐาน และเต็มไปด้วยอคติทางการเมือง ปราศจากข้อเท้จจริงเชิงประจักษ์ในพื้นที่
ทั้งที่ กระทรวงต่างประเทศไม่ต้องมองไปไหนไกล
แค่ถนนมิตรภาพ มีคนอยู่หยิบมือ กำลังเดินเพื่อแสดงจุดยืนของพวกเขาเอง
แต่ก็ถูกไล่ล่า ถูกดำเนินคดี ทุกแทบย่างก้าวเห็นๆกันอยู่–จนศาลปกครองต้องสั่งคุ้มครอง
นี่แค่ตัวอย่างเดียว
จึงมึนงงที่ประณามคนอื่น
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว อดโยงไปกรณีองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติไม่ได้
เพราะเหตุที่อ้างถอนตัว เหมือนกระทรวงต่างประเทศไทยเป๊ะ
“การชี้วัดขององค์กรดังกล่าวมีอคติและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในไทย”
อันนี้จะเป็นเรื่อง”กองหนุน”ขยันตีระฆังด้วยหรือไม่
ไม่อยากกล่าวหาใคร
แต่เห็นใจคนนั่งสวดมนต์ ที่สมาธิอาจแตกกระเจิง ด้วย”กองหนุน”ย่ำระฆังกันเมามันอยู่ตอนนี้
——————–