ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 ธันวาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | อาณาจักรใจ |
เผยแพร่ |
[นักเขียนหรือกวีต้องไม่คุย
แต่เหล่านี้คือข้อเท็จจริงและความรู้สึกจริงใจที่ควรบันทึกไว้ให้ผู้ที่อ่าน ราช รังรอง ได้รู้ไว้
ความจริงจะต้องถูกใส่หลุมลึกแล้วกระทุ้งดินอัดลงไปให้ตายหรือ
ขอบกรุง จะเป็นบทกวีหรือไม่เป็น ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า
หน้าที่ของข้าพเจ้าก็คือการเขียนหนังสือที่ไม่เดินตามรอยเท้าคนอื่น และไม่เก็บเงินหมื่นเงินแสนตามรอยเท้าคนอื่น
ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นนักเขียนแล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าอหังการในข้อเขียนของตัวเองเถิด
กวีแบบเจ้าฟ้ากุ้ง สุนทรภู่ ชิต บุรทัต นั้นมีกันมากมาย เพียงอ่านบทกวีของท่านกวีเหล่านี้ไม่กี่หนก็เขียนตามแบบได้
แต่กวีแบบ ราช รังรอง นั้นก็คือรอยเท้าของ ราช รังรอง
ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว และไม่มีใครมาก่อนเลย
16 กรกฎาคม 2514]
ฉันเพ่งจ้องตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยได้อ่านอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย
โอ นี่มันเป็นหนังสือแบบไหนกัน ฉันพลิกเปิดไปได้หลายหน้าแล้ว ยังไม่เห็นจะมีบทกวีสักบท ดูเหมือนจะมีแต่ข้อความเรียงยาวเป็นหน้าๆ
ทว่า เมื่อพลิกกลับไปกลับมา ก็ตัดสินใจอ่านในหน้าแรกๆ ดูอีกครั้ง
และก็พบข้อความที่ทำให้สุดแสนประหลาดใจ
…
มันคืออะไรกัน บทกวีแบบไหนกันหรือ เจ้าของผลงานเขียนเล่มนี้จึงเรียกมันว่า กวีแบบ ราช รังรอง
…
[เธอมองเห็นริบบิ้นสีทองอันเลื่อมลายของผีเสื้อปีกเหลืองที่ปลิวไหวออกมาจากราวป่านั้นหรือไม่**1
ชั่วครู่หนึ่งมันก็กลายเป็นเสมือนร่างแหมหึมาที่ครอบคลุมลงไปบนสีสันอันแพรวพรายของหุบเขานั้น
แสงแดดอร่ามค่อยๆ เคลื่อนตัวตามลงไปเหมือนกับการคืบคลานของตัวด้วง
และเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทของป่าทั้งป่าออกด้วยนิ้วมือไหม
เธอมองเห็นเปลวควันสีดำของค้างคาวแม่ไก่ที่พวยพุ่งออกมาจากซอกผาสูงนั้นหรือไม่
ชั่วครู่หนึ่งมันก็กลับกลายเป็นเสมือนผืนผ้าแพรใหญ่ที่วางทาบลงไปบนความเหนื่อยอ่อนของป่านั้น
แสงแดดอร่ามค่อยๆ หดตัวขึ้นไปเหมือนกับการคืบคลานของตัวด้วง
และปิดเปลือกตาที่เปิดกว้างของป่าทั้งป่าลงด้วยนิ้วมือมนต์]
“เป็นยังไงบ้าง อ่านสนุกไหม”
ชายเจ้าของร้านเงยหน้าส่งยิ้มให้ฉัน เบื้องหน้ามีกระดาษขาวอยู่สองสามแผ่น และดินสอปลายแหลมหลายเล่ม
ฉันพยักหน้า
“ชอบไหมล่ะ อ่านถึงไหนแล้ว”
“เกือบจบเล่ม” ฉันตอบ
“ชอบบทไหนบ้าง”
ฉันได้แต่มองหน้าเจ้าของร้านนิ่งๆ อยากจะจดจำไว้ว่า เขาคือผู้ที่พาฉันไปในโลกอีกแห่งหนึ่ง
“ชอบเกือบทั้งหมด”
“นั่นละ บทกวี” ชายผมถักเปียพูด “ถึงไม่มีทำนองสักท่อนเดียวก็เถอะ”
ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจอะไรมากมาย แต่ก็ให้รู้สึกวูบไหวจนอธิบายไม่ได้
…ไม่ใช่ไม่มีทำนอง ฉันได้ยินจังหวะเหล่านั้นที่กึกก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ
[เธอมองเห็นกงล้ออันหมุนติ้วภายใต้พลังแห่งรังสีของดวงอาทิตย์ยามทิวาวานนั้นหรือไม่
มันพามวลชีวิตห้อตะบึงไปประหนึ่งพายุและบดทับวิญญาณที่ล้าหลังไปอย่างปราศจากความปรานี
มันหมุน…และหมุน…หมุน…อยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี
ใครหนอที่จะหยุดยั้งการหมุนของมันลงเสียได้
เธอมองเห็นท้องธารอันสงบนิ่งภายใต้มนต์ขลังแห่งรังสีของดวงอาทิตย์ยามรัตติกาลนั้นหรือไม่
มันกล่อมวิญญาณที่เมื่อยล้า และดวงใจที่ร่ำไห้ด้วยกังวานเสียงอันหวานสะคราญและจับใจ
มันกล่อม…และกล่อม…กล่อม…อยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี
ใครหนอที่จะยืดเยื้อเวลาอันสงบนิ่งของมันออกเสียได้]
“มันเพราะมากๆ เลย”
ฉันพูดออกไป แล้วน้ำตาก็เอ่อออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“แต่เราคงไม่ได้อ่านอีกแล้วละ”
“อ้าว ทำไม?” ชายถักเปียไหวตัว
“…เราต้องไปแล้วละ”
มีแสงวูบวับหนึ่งในดวงตาของชายร่างสูงโปร่งบาง หรือมันอาจเป็นแสงแดดที่ทอละอองเข้ามาทางช่องหน้าต่าง และไล่ไล้ไปบนพวกสันหนังสือเหล่านั้น
ฉันยังไม่ได้ถอดเฝือกออกจากข้อแขนเลย แต่ตอนนี้ แม่ที่เคยอยู่ไกลก็กลับใกล้เข้ามาจนยากจะปฏิเสธการมีอยู่ได้
“แม่มึงขาหัก” พี่โฟกระแทกเสียงใส่หูไว้ “อีพ่อเขียนจดหมายก้อมฝากมากับรถแดง ถ้ามึงจะไม่ไป แม่มึงตายส่องหน้ากู…จะเหิดให้”
น้ำตาฉันยังร่วงลงมาอีก ตอนที่มีวงแขนเข้ามาพาดไหล่
ชั่วขณะ นึกไปถึงเมื่อครั้ง…เคยอยู่ในอ้อมกอดลุงฌอ
[ในความตื่นและความหลับอันแตกต่างกันประหนึ่งมลทินของพื้นพิภพและความบริสุทธิ์ของฟากฟ้านั้นเธอปรารถนาสิ่งใด
กงล้ออันหมุนติ้ว หรือว่า ท้องธารอันสงบนิ่ง
แต่ทว่า เธอจะปรารถนาสิ่งใดก็ตาม เธอก็ไม่สามารถจะหลีกพ้นไปเสียจากสิ่งหนึ่งได้
ความปรารถนานั้นเป็นแต่เพียงความฝันและทำให้เธออยู่ในความหลับใหลประหนึ่งขุนเขา
และถูกกงล้อแห่งทิวาวารบดขยี้ลงไปอย่างยับเยิน]
“ยังไงฉันก็ต้องไป”
ไหล่ของฉันคงจะสั่น เพราะมันเกินจะกลั้นเอาไว้ได้
ยื่นหนังสือสองเล่มออกไป
“ฉันเอามาคืนคุณก่อน”
บัดนี้ แม้จะรู้ว่าไม่มีสักใบแดงอย่างคาดหวัง แต่ก็ไม่นึกเสียดาย มีสิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจกว่านั้น
มันเหมือน…เหมือนฉันเพิ่งรู้ว่า ถ้อยภาษาแบบไหนที่จะทำให้ฉันโลดลิ่วลอยตามเข้าไป และในใจกลางนั้น ฉันยังแลเห็นความหวัง
แต่ถึงตอนนี้ ฉันจะมีอะไรให้หวัง
[ออกมาเถิด! วิญญาณที่หลีกหนีเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของดวงดาวยามรัตติกาล
ความทะเยอทะยานที่จะสงบนิ่งและหลับสนิทอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นเป็นแต่เพียงภาพมายา
กงล้ออันโหดเหี้ยมนั้นย่อมหมุนไปถึงทุกที่ และไม่เคยปรานีต่อความหลับ
ตราบเท่าที่แสงอันแรงร้อนของดวงอาทิตย์ยังสาดส่อง และบังคับให้โลกหมุนไปตามวงจรของจักรวาล]
มือขาวดึงรับหนังสือไปจากมือฉันอย่างนุ่มนวล แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ผมจะพาคุณไปข้างบนนะ”
ฉันไม่ได้พยักหน้า แต่ว่าก็โอนอ่อนตามแรงดึงนั้น
ช่วยพาฉันไปสักทีก็ดีเหมือนกัน ก่อนที่ฉันจะต้องจากไป…ไปไกลจากที่ที่ ฉันกำลังจะมีความสุข
[ความหลับนั้นคืออาหารอันเอมโอชของความตื่น
ความสงบนั้นคือเหยื่ออันไร้เขี้ยวเล็บของความทะยานอยาก
ดุจฝูงโคที่รอคอยการพิฆาตอยู่ในคอก
และสุกรที่หลงยินดีต่อความสมบูรณ์ภายในเล้า
จงยื่นความหลับและความสงบให้แต่เพียงแก่มวลดาราเท่านั้นเถิด
และจงตื่นขึ้นเมื่อเสียงสนั่นของกงล้ออันหมุนติ้วเริ่มขึ้นอย่างกัมปนาท
เวลาแห่งการยืนหยัดที่จะมีลมหายใจอยู่อย่างเสรีได้มาถึงแล้ว
ตื่นเถิด, ขุนเขาที่หลับใหล, ตื่นเถิด]
เท้าของฉันเหยียบลงบนไม้กระดานแผ่นหนา มันทั้งเย็นยะเยือกและร้อนอ้าวในคราวเดียวกัน เพียงแต่หนังสือเล่มนั้นยังติดมือของเขาขึ้นมาด้วย
นายจ้างของฉัน ผู้ชายที่สอนให้ฉันรู้จักความแปลกใหม่ในบทกวี จรดจมูกเข้าที่ซอกคอของฉัน
“ผมเขียนบทกวีไว้ให้คุณเหมือนกันนะ เพิ่งจบเมื่อตะกี้พอดี”
ฉันปราศจากความคิดใดๆ ในหัว ไร้ความกลัว ไร้ความหวัง
[จงยื่นความหลับและความสงบให้แต่เพียงแก่มวลดาราเท่านั้นเถิด
และจงตื่นขึ้นเมื่อเสียงสนั่นของกงล้ออันหมุนติ้วเริ่มขึ้นอย่างกัมปนาท
เวลาแห่งการยืนหยัดที่จะมีลมหายใจอยู่อย่างเสรีได้มาถึงแล้ว…]
“ฉันอยากจะคิดถึงที่นี่ ถ้าจะไม่ได้กลับมาอีก”
ฉันขยับปากปล่อยถ้อยคำไป