ทราย เจริญปุระ : ไม่ใช่ “ผี” ที่หลอกหลอน

มีกระทู้คำถามหนึ่งตั้งขึ้นมาว่า “คนที่ไม่กลัว/ไม่เชื่อเรื่องผี ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างไร?”

ฉันรู้สึกว่าคำถามนี้ถามฉันอยู่ในทีเหมือนกัน

ฉันเป็นคนไม่เอ๊ะ-นี่คือคำอธิบายในภาษาของฉัน

ไม่ “เอ๊ะ” ในที่นี้ คือจะไม่เอะใจ คลางแคลง หรือระแวงต่อสถานการณ์ผีสางต่างๆ เช่น เดินเข้าห้องมาแล้วอยู่ๆ ไฟดับพรึบ ฉันก็จะเดินไปเปิดไฟแบบเฉยๆ ถ้าไม่ติดก็หาสวิตช์เปิดอีกอัน ไม่ได้ระแวงแคลงใจว่ามีผีซุ่มซ่อนตัวหัวเราะคิกคักเอามือบังไฟในห้อง ไปทำงานต่างจังหวัดฉันก็นอนคนเดียวจนติดนิสัย เข้าห้องน้ำอาบน้ำก็ไม่ล้างหน้าลวกๆ เพราะไม่กล้าหลับตานานให้ผีมาถ้ำมองแต่อย่างไร ฉันก็อาบน้ำสระผมไปตามปกติ

ซึ่งการไม่เอ๊ะนี้ ก็อาจจะฟังดูค้านกันเองกับสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกต่อไป

นั่นก็คือฉันเชื่อเรื่องผี

เชื่อว่ามีวิญญาณอยู่บนโลกใบนี้

เชื่อว่าจะเพราะอะไรก็ตาม คนที่เคยอยู่มาก่อนและตายจากไป, ไม่ได้-จากไป-อย่างสมบูรณ์แบบได้ทุกคน

พ่อแม่ฉันไม่เคยยกเรื่องผีมาหลอกพร่ำเพรื่อ ไม่มีขู่ว่าซีอุยจะกินตับ ตำรวจจะจับถ้าร้องไห้ ถ้าฉันดื้อก็ว่าไปตามความดื้อ ลงโทษกันไปตามนั้น ไม่มีขู่แบบจินตนาการ แต่ทำให้รู้ว่าแม่เอาจริง ตีจริง ไม่รอผีสาง

แล้วทำไมฉันจึงเชื่อเรื่องผีและไม่ได้กลัวผีได้ในเวลาเดียวกัน?

 

ทุกปีเว้นปี ที่บ้านยายฉันที่จังหวัดอ่างทอง จะมีพิธีไหว้ผีแบบมอญ โดยทำขนมต้มแดงต้มขาว ขนมกง และอะไรอีกหลายอย่าง

ที่ฉันไม่เคยจำได้ รู้แค่ว่าพอถึงช่วงเวลาหนึ่ง ฉันกับน้องก็จะถูกแม่จับใส่รถขับไปบ้านยาย วิ่งเล่นกันไปรอบๆ ใต้ถุนที่บรรดาผู้ใหญ่แถวนั้นจะมารวมตัวกัน นวดแป้ง ติดเตา เตรียมข้าวของไว้ใช้สำหรับงานในวันรุ่งขึ้น

ฉันมักจะผล็อยหลับไปพร้อมๆ กับเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ในบ้าน และรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดด้วยการปลุกของกลิ่นควันไฟ

พิธีนี้ส่งต่อกันมาจากผู้หญิงรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง

แม่ฉันเป็นพี่สาวคนโตในรุ่นของแม่ เหมือนที่ฉันเป็นลูกสาวคนโตของแม่อีกที ไม่มีใครบอกว่าต่อไปฉันจะต้องมาทำพิธีแบบนี้ หรือมีอะไรที่ฉันจะต้องจดจำบ้าง มันเป็นวันที่มีขนมหน้าตาประหลาดและรสชาติไม่อร่อย

ฉันจึงรู้สึกว่าดีแล้วที่ขนมพวกนี้เอาไปไหว้ที่ศาลในหมู่บ้านมากกว่าจะเอามากินกันเองเป็นหลัก

ศาลเป็นเรือนไม้ยกเพียงเตี้ยๆ ไม่มีใต้ถุนโปร่งโล่งให้เด็กอย่างเราไปวิ่งเล่นกัน จึงถูกต้อนมานั่งยุกๆ ยิกๆ รวมกันข้างบน นับหัวกะโหลกควายที่ตั้งเรียงรายรอบศาลอย่างประหลาดใจ ว่าแถวนี้เคยมีควายมากขนาดนี้เชียวหรือ เขาโง้งๆ นั่นออกสีกระดำกระด่างเพราะความเก่า และก่อนที่เราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พิธีก็เสร็จสิ้น ทุกคนกลับไปกินข้าวด้วยกัน

เป็นอีกหนึ่งวันอันแสนสุขที่จะบันดาลให้ปีนี้ทุกคนต่างอยู่รอดปลอดภัย

 

การทำพิธีนี้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันเฉยๆ กับการมีอยู่ของวิญญาณก็ได้ คุณลองพาเด็กคนหนึ่งไปนั่งอยู่ที่ไหนสักที่ที่รายล้อมด้วยหัวกะโหลกควาย ควันธูปและเสียงสวดงึมงำดูสิ ถ้าเขาไม่ชินกับมันเขาก็คงจะเกลียดกลัวมันไปเลย

ฉันเป็นเด็กประเภทแรกนั่นล่ะ

เหมือนมันจะง่ายกว่าเวลาเรายอมรับเรื่องอะไรแบบนี้ได้ ก็ไม่เห็นจะต้องอธิบายอะไร บนโลกที่ทุกคนถูกกำหนดโดยหน้าที่ ผีก็คงมีไว้เพื่อปฏิบัติการบางอย่าง เหมือนที่เราต่างมีงานต้องทำ และก็ทำไปอย่างนั้น โดยไม่ทับซ้อนกัน ไม่ต้องคิดถึงกัน แค่ยอมรับว่ามีอยู่ในทุกที่ เหมือนต้นไม้ อากาศหรือผู้คนที่คุณเดินสวนบนถนน หรือเบียดไหล่หายใจรดต้นคอในโบกี้รถไฟฟ้า

สำหรับฉัน, อย่างน้อยผีก็ไม่เถียงอะไร ถ้าเราไม่ไปวุ่นวายยื่นข้อเสนอหรือทวงถาม

ในชีวิตคนคนหนึ่งจะประสบเหตุร้ายๆ จากคนมากกว่าผีเสียด้วยซ้ำ

คนบางคนบนโลกอาจจะไม่เคยเจอผีเลย แต่ถูกมนุษย์คนอื่นกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาก็ยังคงกลัวผีมากกว่า

ต้องเปิดไฟให้สว่าง ต้องเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้

ทั้งที่ข้างนอกนั่นมีคนอีกมากมายที่รอหาประโยชน์จากตัวเขา

 

ดังนั้น ถ้า เกรดี้ เฮนดริกซ์ บอกว่าในห้างค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสไตล์สแกนดิเนเวียน -ไม่ ไม่ใช่ยี่ห้อนั้น ไม่ใช่ยี่ห้อที่คุณรู้จักดี- ที่จัดวาง ตั้งชื่อ และสร้างนโยบายเหมือนกับชื่อห้างที่แว้บเข้ามาในหัวคุณนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่ห้างนั้น แต่เป็นห้างอีกห้างหนึ่งที่เหมือนกันทุกอย่าง มีผีและพลังงานลึกลับซ่อนตัวอยู่ในเขาวงกตของตู้ชื่อประหลาด โต๊ะทำงานแบบต่อขยายได้ และตุ๊กตานุ่มมือสีสดใส ฉันจึงไม่แปลกใจอะไร

เอาเข้าจริงมันก็เกือบๆ จะเป็นเรื่องสยองขวัญถ้าเราลองคิดไปเรื่อยๆ ว่า คนเราจะเอาเก้าอี้ตัวนี้ไปทำอะไรได้บ้าง เก้าอี้สวยเก๋ ทำจากวัสดุคงทน ที่โฆษณาว่าออกแบบมาเพื่อรองรับทุกการใช้งาน ซึ่งมันก็สามารถครอบคลุมไปตั้งแต่ใช้นั่งพิมพ์งาน นั่งดูลูกวิ่งเล่น นั่งคัดชื่อคนออกให้พ้นสภาพพนักงาน หรือยืนบนเก้าอี้แล้วถีบมันออกระหว่างห่วงรัดคอคุณให้ห้อยต่องแต่งอยู่กับขื่อ เก้าอี้นี้จะเป็นเก้าอี้ไปไม่ได้ถ้าปราศจากคนสร้างมัน คนที่เอามันใส่ลัง คนที่ประกอบมัน คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสคอยตอบคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของมัน

ซึ่งเราไม่มีวันรู้ว่าเบื้องหลังของผู้คนเหล่านี้มีอะไรบ้าง

“ทุกๆ เช้าเธอจะตื่นขึ้นมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยกว่าเช้าก่อนๆ ทุกๆ เดือนเธอจ่ายค่าเช่าช้าลง ทุกๆ สัปดาห์ เธอติดค้างค่าของกินต่างๆ จากเพื่อนร่วมห้อง เธอไม่เคยมีค่าน้ำมันมากพอ เธอยืมเงินคนอื่นเสมอ เธอเป็นหนี้ตลอด แต่ก็ยังไม่พอ หนูถีบจักรต้องวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น

จะว่าไป ในทางหนึ่งเก้าอี้นี้ก็เป็นเพื่อนเธอ มันทำให้เธอเป็นอิสระจากภาพลวง มันทำให้เธอเห็นความจริง เธออยู่ลำพัง ไม่มีใครมาช่วยเธอ ตลอดชีวิต เธอวิ่งหนีจากสิ่งเดียวที่เธอเกิดมาเพื่อทำ นั่นคือการสวมเครื่องแบบและทำงานประจำซ้ำซาก ถึงเวลาแล้วที่ต้องโอบกอดธรรมชาติแท้จริงของตัวเอง

ปัญหาคือคำโกหก คนอื่นชอบบอกเธอว่าเธอจะทำอะไรก็ได้ถ้าเธอตั้งใจริง พวกเขาบอกเธอว่าเธอควรตั้งเป้าจะไปให้ถึงดวงจันทร์ เพราะถึงพลาดเธอก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว พวกเขาสร้างหนังที่ทำให้เธอคิดว่าเธอจะบรรลุอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ โกหกทั้งเพ เพราะเธอเกิดมาแค่เพื่อรับโทรศัพท์ที่หน้าเคาน์เตอร์ แบกถุงของลูกค้าไปที่รถ ลงเวลา หยุดพักสูบบุหรี่ การคิดฝันเป็นอื่นจากนี้คือเรื่องบ้า เก้าอี้นี้ไม่ได้โกหกเธอ มันช่วยรักษาความบ้าของเธอได้ เก้าอี้นี้แสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน

และที่จริงก็คือไม่มี”*

 

เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ฉันกลัว

มันมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้จริงหากเราพลาดพลั้ง หรือเกิดอะไรขึ้นสักอย่างในชีวิต

ฉันทำงานด้วยความรู้สึกแบบนี้ที่คอยหลอกหลอน

ความล้มเหลว

ไม่ใช่ผีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน

ความล้มเหลวที่เราจะป้ายความผิดให้คนอื่นไม่ได้นอกจากตัวเราเอง