ประกวดเรื่องสั้นทั่วไป : พลาสติก

โดย คนไทยคนที่สอง

 

ไอ้จ่อย

ไอ้จ่อยเป็นคนหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ รูปร่างกำยำผิดกับชื่อของมัน ผิวหนังหยาบกร้านจากการทำงานกรำแดดกรำฝน ใครๆ ที่เดินผ่านมันบนท้องถนนคงเดาว่ามันเป็นหนึ่งในแรงงานต่างด้าวหลายหมื่นรายที่ทำงานตามไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ใครล่ะจะเชื่อว่าไอ้จ่อยเป็นถึงเจ้าของกิจการ…

กิจการที่ว่านี้ มีพนักงานเพียงคนเดียว (คือตัวมันเอง) มีทรัพย์สินหลักๆ เพียงชิ้นเดียว คือรถเข็นติดมอเตอร์ไซค์สำหรับขนของ ที่สภาพเก่าคร่ำเกินสิบปี แต่กิจการของไอ้จ่อยนี้ มีพื้นที่ปฏิบัติการทั่วกรุงเทพฯ

ไอ้จ่อยเป็นซาเล้ง งานของมันคือการเก็บ (คุ้ย) ขยะ เพื่อนำไปขายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิล

ไอ้จ่อยทำงานเป็นซาเล้งมาเกือบสิบปีแล้ว ช่วงแรกๆ ก็หาเงินไม่ได้มากนัก เพราะถึงแม้คนกรุงเทพฯ จะทิ้งขยะจำนวนมาก แต่ซาเล้งมืออาชีพก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน กว่าไอ้จ่อยจะหาที่ทาง เริ่มมีรายได้จากการขายขยะ ก็หืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน

จุดเปลี่ยนในอาชีพซาเล้งของไอ้จ่อยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ยามดึกคืนหนึ่ง ไอ้จ่อยเพิ่งขนขยะไปขายโรงงานรีไซเคิลเสร็จ กำลังขี่มอไซค์ติดรถเข็นเปล่าๆ ไปตามท้องถนนเมืองกรุง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นถุงขยะเป็นเนินพูนหลายสิบถุง ไอ้จ่อยไม่รอช้า รีบรุดไปจอดรถมอไซค์ใกล้ๆ กับกองถุงขยะ ไอ้จ่อยคลายปมถุงใบแรกออก ข้างในถุงเต็มไปด้วยขวดน้ำพลาสติกใส กล่องโฟมใส่อาหาร จานกระดาษ และมีแท่งพลาสติกสีเหลืองๆ เหมือนพัดรูปมือ ไอ้จ่อยไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอะไร รู้แต่ว่านี่มันเป็นสวรรค์ของซาเล้งชัดๆ ทั้งขวดพลาสติกและขยะอื่นๆ ที่ขายได้ราคาดี

ไอ้จ่อยไม่รอช้า รีบคลี่ถุงอื่นๆ และก็ต้องยิ้มแก้มปริเมื่อพบว่าข้างในก็มี “สมบัติ” ดีงามไม่แพ้กัน เวลาล่วงถึงเที่ยงคืน กว่ามันจะแยกขยะพลาสติกที่ขายได้ เก็บลงในรถเข็นจนแทบจะล้นทะลัก

คืนนั้น เครื่องมอไซค์คันเก่าของไอ้จ่อยต้องทำงานหนักกว่าปรกติ

 

เฮียเส็ง

เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้จ่อยขี่มอไซค์พร้อมขยะกองพะเนินเตรียมเอาไปขาย แต่มันไม่ได้ไปโรงงานรีไซเคิลเหมือนเมื่อคืน ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเก็บขยะพลาสติกได้เยอะ มันจะไปขายให้กับเฮียเส็ง เจ้าของโรงงานพลาสติกเล็กๆ ที่อยู่ในย่านเดียวกัน เพราะเฮียเส็งให้ราคาดีกว่าโรงงานรีไซเคิล แถมไม่ต้องเดินทางไกลด้วย

เมื่อถึงโรงงานเฮียเส็ง ตกลงราคากันเรียบร้อย ภายในเวลาเพียง 15นาที กรรมสิทธิ์ของขยะกองโตก็ตกเป็นของเฮียเส็ง ไอ้จ่อยมองแบงก์สีแดงหลายใบในมือด้วยความดีใจ พลันครุ่นคิดว่าคืนนี้จะกลับไปจุดที่เจอ “สมบัติ” อีก

เมื่อกองขยะ (ที่ไอ้จ่อยแยกให้แล้ว) เข้ามาอยู่ในโรงงานเฮียเส็ง คนงานก็ไม่รอช้า นำขวดน้ำเปล่าไปเข้าเครื่องหลอมให้กลายเป็นเม็ดพลาสติกก่อนส่งไปขายให้กับโรงงานผลิตขวดน้ำต่อไป ส่วนไอ้ก้านพลาสติกรูปมือหลายร้อยชิ้นนั้น เฮียเส็งสั่งให้ลูกน้องเอาไปเก็บในโกดัง

เวลาผ่านไปหลายเดือน ไอ้จ่อยมาหาเฮียแทบไม่เว้นวัน ทุกครั้งมาพร้อมกับขยะแบบเดิม ทั้ง ขวดน้ำเปล่า กล่องพลาสติกใส่อาหาร ฝากาแฟพลาสติก และเจ้าก้านพลาสติกรูปมือ

เช้าวันหนึ่ง เฮียเส็งสั่งลูกน้องให้เอาก้านพลาสติกที่ซื้อจากไอ้จ่อยออกมาจากโกดังทั้งหมด รวมแล้วนับพันชิ้น เฮียเส็งตรวจดูชนิดพลาสติกที่ใช้ทำก้านนี้อย่างครุ่นคิด ก่อนสั่งให้ลูกน้องนำไปหลอมเป็นเม็ดพลาสติกให้หมด

“เอ้อ เติมผงสีแดงลงไปด้วยนะ ลูกค้าเข้าอยากได้สีแดง” เฮียเส็งสั่งทิ้งท้าย

โชคดีที่พลาสติกสีเหลือง เมื่อหลอมแล้วก็ย้อมเป็นสีแดงได้

 

ไอ้จ่อย

หลายเดือนแล้วที่จ่อยแวะเวียนไปที่ “ขุมทรัพย์” แต่ก็ไม่เจอกองขยะรอคอยเขาอยู่ เขาคิดในใจว่าคงหารายได้เป็นกอบเป็นกำแบบตอนที่เจอกองขยะนั้นไม่ได้อีกแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเป็นใจให้กับไอ้จ่อยของเรา

คืนวันหนึ่ง ไอ้จ่อยขับไปตามถนนสายเดิมที่มันใช้กลับบ้านหลังจากแวะไปที่โรงงานรีไซเคิล เมื่อถึงหัวมุมที่มันเคยเจอกองขยะนั้นทีไร มันไม่อยากจะเหลือบตาไปดูเลย เพราะมันอดเสียใจไม่ได้ที่ต้องเห็นหัวมุมนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งกองขยะ

แต่คืนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น หัวมุมนั้นไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป! ถุงขยะกองพะเนินกลับมาอีกครั้ง ไอ้จ่อยดีใจแทบเป็นบ้า รีบซิ่งมอไซค์ไปคุ้ยถุงขยะ แล้วก็ยิ้มได้อีกครั้ง เพราะภายในมีทั้งขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว กล่องพลาสติก และมีก้านพลาสติกสีแดงจำนวนมาก รูปทรงคล้ายฝ่าเท้า

ไอ้จ่อยรู้สึกคุ้นๆ กับก้านนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นจากไหน มันเป็นคนหัวทึบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

เฮียเส็ง

ราวกับหนังเก่าที่ฉายซ้ำ ไอ้จ่อยนำขยะพลาสติกไปขายให้เฮียเส็งเหมือนเดิม คราวนี้โรงงานเฮียเส็งขยายใหญ่ขึ้น ไม่ได้ผลิตเม็ดพลาสติกอย่างเดียว แต่ยังรับหล่อแบบพลาสติก และรับทำวัตถุด้วยพลาสติกทุกรูปแบบ

หลังจากที่ขุมทรัพย์กลับมาอีกครั้ง ไอ้จ่อยก็มีโอกาสแวะเวียนไปโรงงานเฮียเส็งอยู่บ่อยๆ เพื่อขายขยะ แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอเฮียเส็งสักเท่าไหร่นัก เพราะกิจการที่ขยายใหญ่ขึ้นย่อมนำมาซึ่งภาระความรับผิดชอบที่มากขึ้นเป็นเท่าตัว

เช้าวันหนึ่ง ไอ้จ่อยมาขายขยะที่ร้านเฮียเส็งตามเคย แต่วันนี้คนงานในร้านที่เขาสนิทสนมด้วย ดูจะอิดโรยมากเป็นพิเศษ ไอ้จ่อยจึงถามถึงสารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง “พักนี้ยุ่ง ใครก็ไม่รู้ออเดอร์นกหวีดพลาสติกตั้งหมื่นกว่าอัน เร่งทำกันไม่ได้หลับไม่ได้นอน นี่โชคดีนะจ่อยที่มึงเอาขยะมาขาย ไอ้ขยะที่มึงเอามาตั้งหลายรอบน่ะ พวกกูเอามาหลอมทำไอ้นกหวีดนี้หมดแล้ว”

ไอ้จ่อยดีใจที่เห็นกิจการเฮียเส็งไปได้ดี ถ้าเฮียเส็งยังคงซื้อขยะจากเขาอยู่เรื่อยๆ อีกไม่นานเขาคงมีเงินพอซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ได้…

 

ไอ้จ่อย

เวลาผ่านล่วงไปนานกี่เดือนแล้ว เขาจำไม่ได้ เพราะเขาไม่ดูปฏิทิน ไม่มีนาฬิกา ไม่มีโทรทัศน์ และไม่ค่อยจะพบปะผู้คนนัก รถมอเตอร์ไซค์ซาเล้งคันใหม่เอี่ยมที่เพิ่งถอยมาได้ไม่นาน ทุกวันนี้กลับว่างเปล่า ไม่ค่อยได้แบกขยะเสียเลย เพราะขุมทรัพย์ตรงหัวมุมถนนที่เคยสร้างรายได้งามให้กับไอ้จ่อยนั้น บัดนี้กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง (และว่างมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว)

ไอ้จ่อยกลับมาค้นถุงขยะตามบ้านต่างๆ เพื่อหาขยะไปป้อนให้โรงงานรีไซเคิล มันไม่ได้ไปหาเฮียเส็งมานานแล้ว เพราะมันยังเก็บขยะพลาสติกได้ไม่เยอะพอ มันคิดว่าสักอาทิตย์หน้าค่อยแวะไปเยี่ยมเยียนเฮียเส็ง

พร้อมกับขยะพลาสติกทั้งหลายที่มันเก็บมาได้จากบ้านต่างๆ ในรอบหลายเดือน

 

เฮียเส็ง

ไอ้จ่อยจอดรถมอไซค์คันใหม่หน้าโรงงานเฮียเส็ง แต่วันนี้โรงงานดูเงียบเชียบพิกล ไร้เสียงหึ่งของเครื่องจักรที่ไอ้จ่อยคุ้นเคย ประตูโรงงานเฮียเส็งปิดสนิท มีป้ายกระดาษสีขาวๆ แขวนอยู่

ไอ้จ่อยอ่านข้อความบนกระดาษไม่ออก พื้นเพมันเป็นคนพม่า แม้มาอยู่ไทยได้เป็นสิบปี พูดไทยได้ แต่ก็ยังอ่านไทยไม่คล่อง

โชคดีของไอ้จ่อยที่คุณป้าร้านส้มตำข้างโรงงานเฮียเส็งเดินผ่านมาพอดิบพอดี เลยได้มีโอกาสถามถึงเหตุผลที่โรงงานเงียบเชียบอย่างนี้ “อาเฮียแกปิดกิจการไปเกือบเดือนแล้ว สงสัยไม่ค่อยมีลูกค้านะ ก็อย่างนี้ล่ะนะ เศรษฐกิจยุคนี้…”

ไอ้จ่อยไม่ได้ฟังคุณป้าร้านส้มตำบ่นต่อ มันรู้สึกใจหายเมื่อคิดว่ามันคงไม่ได้เจอเฮียเส็งอีกแล้ว ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวเดินอย่างเหนื่อยอ่อน สาวเท้าเดินกลับไปที่มอไซค์ที่จอดสนิทอยู่

ไอ้จ่อยเหลือบตาไปมองถุงนับสิบถุงในรถเข็นซาเล้ง แสงแดดยามเที่ยงสะท้อนกับนกหวีดพลาสติกหลากสีภายในถุงขยะ ดูแล้วก็เพลินตาไม่น้อย

แต่ไอ้จ่อยกลับคิดไม่ตก มันไม่รู้ว่าจะเอาพลาสติกเหล่านี้ไปขายใครดี