ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 สิงหาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
ด้วยฝ่ายกบฏบวรเดช (2476) พยายามสร้างกระแสข่าวลือมาแต่ก่อนกบฏว่า รัฐบาลพระยาพหลฯ เป็นรัฐบาล “ล้มเจ้า” เป็นคอมมิวนิสต์ คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อประโยชน์แก่พวกตนเองและต้องการทำร้ายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ด้วยฝ่ายกบฏ “ปั้นข่าว” หวังสร้างกระแสการต่อต้านรัฐบาลให้เกิดในหมู่ประชาชนทั่วประเทศ
ดังที่ สว่าง โกศลศรี และบุญเสง ภู่ธราภรณ์ ชาวอยุธยา มีรายงานถึงรัฐบาลว่า ในอยุธยามีการปล่อยข่าวว่า รัฐบาลพระยาพหลฯ กำลังจะถอดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ออกจากตำแหน่งกษัตริย์ และจะยกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน (หจช.สร.0201.1.3.1/1 กล่อง 1)
รัฐบาลจึงตั้งคณะทำงานต่อต้านข่าวลือ มีปรีดี พนมยงค์ หลวงวิจิตรวาทการ ม.จ.วรรณไวทยากร ตอบโต้สงครามข่าวสารจากฝ่ายกบฏ ด้วยใบปลิว และแถลงผ่านวิทยุกระจายเสียงอย่างต่อเนื่อง (หจช.สร.0201.1.1/2)
ร.ต.ตุ๊ จารุเสถียร ทหารฝ่ายรัฐบาลเล่าสงครามข่าวสารของรัฐบาลว่า “ได้ทราบข่าวจากคำแถลงการณ์ของฝ่ายรัฐบาลซึ่งได้ออกเป็นใบปลิวแจกจ่ายประชาชนและต่อมาได้ใช้วิทยุกระจายเสียงประกาศ อันเป็นการประกาศในลักษณะบำรุงขวัญประชาชน เป็นการปฏิบัติการจิตวิทยาให้ประชาชนมีความเข้าใจและเข้าข้างรัฐบาล ปฏิบัติการครั้งนี้ ถือได้ว่านับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการใช้สงครามจิตวิทยาจากวิทยุกระจายเสียง” (ประภาส จารุเสถียร, 2534, 150)
สงครามข่าวสารของฝ่ายรัฐบาลมีผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของฝ่ายกบฏอย่างมาก ดังนายทหารฝ่ายกบฏบันทึกไว้ว่า “รัฐบาลใช้วิทยุกระจายเสียงตะล่อมกล่อมขวัญให้พากันแน่ใจว่ารัฐบาลอยู่ในฐานะที่มั่นคง ฝ่ายทหารหัวเมืองที่เป็นกบฏสิกำลังง่อนแง่น ทั้งปลอบให้ทหารผู้น้อยที่เป็นกบฏกลับใจ รัฐบาลจะไม่ทำโทษ แล้วขู่ว่า ถ้าดื้อดึงจะพลอยรับโทษหนัก พวกทหารผู้น้อยที่ฟังวิทยุกระจายเสียงของรัฐบาลเริ่มลังเล” (ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์, 2508, 323)
วงจรข่าวลือ ปากสู่ปาก และฟังลำตัด
: การสื่อสารในชนบท
ด้วยการสื่อสารในสังคมชนบทยังห่างไกลการรับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์รายวันและวิทยุ สังคมในครั้งนั้นจึงทราบข่าวสารจากการบอกเล่าข่าวสารด้วยปากต่อปาก จากบุคคลมาสู่ชุมชนเป็นสำคัญ
ต่อมา ในช่วงทศวรรษ 2460-2470 เมื่อสังคมเริ่มอ่านออกเขียนได้มากขึ้น มีความนิยมอ่านหรือรับฟังบทกลอนจากลำตัดเล่าเรื่อง ที่นักเขียนมักนิยมเรียบเรียงเรื่องตามโวหารลำตัดที่มีความบันเทิงลงหนังสือพิมพ์ หรือเขียนเป็นเล่มออกจำหน่ายกันในท้องตลาดราคาถูกๆ ทำให้สิ่งพิมพ์ชนิดนี้เป็นพาหนะข่าวสารในครั้งนั้น
เนื้อเรื่องในหนังสือลำตัดมักจะเล่าเรื่องเคล้าความบันเทิง ข่าวอาชญากรรม หรือเหตุการณ์สำคัญที่กำลังโด่งดังในขณะนั้น นักเขียนลำตัดที่มีชื่อเสียง เช่น หะยีเขียด พลายนรินทร์ฯ เป็นต้น เนื้อหาทำนองเป็นการขุดคุ้ยเรื่องราวมาประจาน (สุรพงษ์ จันทร์เกษมพงษ์, 2547, 62-63)
ภายหลังปราบกบฏบวรเดชไม่นาน พลายนรินทร์ฯ นักเขียนลำตัดถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนั้นเป็นเรื่อง “ปราบกบฏบวรเดช” ทำให้สนิท เจริญรัฐ นักหนังสือพิมพ์ ชาวนครราชสีมา ต่อมาเป็นผู้แทนราษฎรนครราชสีมา เขาเคยแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับหนังสือลำตัดปราบกบฏของพลายนรินทร์ฯ ซึ่งมีหน้าปกล้อเลียนเป็นภาพพระองค์เจ้าบวรเดชขี่หมูว่า ถ้าหากส่งไปจำหน่ายที่โคราชแล้วอาจทำร้ายความรู้สึกของชาวโคราชที่มีความเคารพในพระองค์เจ้าบวรเดชได้ จึงขอให้รัฐบาลรีบแก้ไขก่อนเหตุการณ์จะบานปลายเป็นความไม่พอใจต่อรัฐบาล (ประวิทย์, 241-242)
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ลำตัดของพลายนรินทร์ฯ เขียนลำตัดสนับสนุนรัฐบาลคณะราษฎรให้ปราบกบฏบวรเดช แต่โวหารลำตัดอาจกระทบความรู้สึกของชาวโคราชที่เพิ่งพ่ายแพ้ต่อรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่า รัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้อย่างใด
ควรบันทึกด้วยว่า พลายนรินทร์ฯ เป็นนักเขียนลำตัดที่มีชื่อเสียงและมีผลงานมากในช่วงปลายระบอบเก่า เช่น ในปี 2468 เชียนผลงานเรื่อง อ้ายก้านผู้วิเศษ เป็นเรื่องจอมโจรหนองโดนที่ต่อสู้กับกองตำรวจอย่างทรหดอดทน อ้ายก้าน เป็นผู้ต้องหาคดีค้าฝิ่นเถื่อนที่ต่อสู้และยิง ร.ต.อ. ขุนตระเวนรักษาตาย และลำตัดประชันระหว่างพลายนรินทร์ฯ ล้วงตับพระยานนทิเสน ว่าแก้อย่างละห้อย ในสมัยรัชกาลที่ 6 เคยเกิดข่าวอื้อฉาว เรื่องพระยานนทิเสน แม็ก เศียรเสวี โกงรางวัลล็อตเตอรี่เสือป่า จนต้องติดคุก เป็นต้น
ปี 2469 พลายนรินทร์ฯ เขียนเรื่อง คดีลักพระราชทรัพย์ในพระบรมมหาราชวัง (ราว 5 เล่มจบ) อ้ายลูกฆ่าพ่อ พิพากษาตัดสินพระยานนทิเสนคดีขี้ฉ้อกลางเมือง ฆาตกรรมถ่วงกระสอบ เจ้าคุณรามฯ ไปนอกกรุง ฆ่ากำนันนนท์บุรี แทงฅอผู้หญิงตาย ตำรวจพิฆาฏทหารเรือ เหตุอุกฉกรรจ์อันสยดสยอง ณ จังหวัดธนบุรี เป็นต้น (http://article.culture.go.th)
การเผยแพร่ประชาธิปไตยด้วยภาษาถิ่น
ภายหลังการปราบกบฏบวรเดชลงแล้ว รัฐบาลคณะราษฎรยกฐานะกองโฆษณาการขึ้นเป็นสำนักงานแล้วยังให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยแก่พลเมืองอย่างกว้างขวางว่า
“การปกครองตามลัทธิประชาธิปไตยนั้น ย่อมกำหนดให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่ปวงชน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดหรือถูกของปวงชนย่อมเป็นผลโดยตรงแก่นโยบายของรัฐบาล… ดังนั้น หัวใจของการโฆษณาจึ่งมีว่า เมื่อใดโฆษณาของรัฐบาลปราศจากความสำเร็จ เมื่อนั้นรัฐบาลย่อมตกอยู่ในความลำบาก เพราะเหตุว่า การใช้อำนาจบังคับใจคนนั้น ย่อมไม่ดีเท่าวิธีให้ความรู้และเหตุผลแก่ประชาชน” (หลวงรณสิทธิพิชัย, 2476, 12)
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดในการอ่านออกเขียนได้และความสามารถในการเข้าถึงวิทยุของประชาชนในชนบทและสมรรถนะในการส่งเคลื่อนสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ทั่วถึง ทำให้สำนักงานโฆษณาการตระหนักดีถึงปัญหาดังกล่าวในการสื่อสารกับประชาชน จึงเลือกใช้วิธีการสื่อสารใหม่ผ่านการปาฐกถาและการพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก (สำนักงานโฆษณาการ, 2477, 28-32)
สำหรับสภาพสังคมอีสาน อุปนิสัยใจคอของผู้คนเป็นอย่างไรนั้น เลียง ไชยการ ส.ส.อุบลฯ ให้ภาพไว้ว่า “นิสัยใจคอ ศีลธรรมของชาวจังหวัดนี้ส่วนมากว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อกระด้าง ความเป็นคนพาลเกเรมีน้อยที่สุด ความดุร้ายไม่มีเลย” (สำนักงานโฆษณาการ, 2478, 25)
ส่วนพระไพศาลเวชกรรมและขุนเสนาสัสดี ส.ส.ร้อยเอ็ด เล่าถึงชีวิตชาวอีสานแล้งแค้นยากจนว่า “การทำมาหากินของราษฎรนับจำนวนตั้ง 4 แสนเศษ โดยมากทำนาที่ต้องอาศัยน้ำฝนซึ่งมีตามฤดูกาล ถ้าปีไหนฝนดีก็ได้ผลมากเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าหากปีไหนฝนแล้งก็ขาดทุน ที่ลงแรงไปเสียเปล่า และซ้ำร้ายคือไม่มีข้าวกินในปีถัดไป…” (สำนักงานโฆษณาการ, 2478, 175-176)
ดังนั้น ภายหลังปราบกบฏบวรเดชแล้ว สำนักงานโฆษณาการจึงมีภารกิจสำคัญในการเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน ดัง ชวาลา สุกุมลนันท์ อดีตข้าราชการของหน่วยงานคนหนึ่งเล่าว่า แม้นสังคมไทยมีหนังสือพิมพ์ แต่มีผู้อ่านน้อย และแม้นจะมีวิทยุ แต่กำลังส่งต่ำ อีกทั้งเครื่องรับวิทยุในสังคมก็มีน้อยเครื่อง ดังนั้น วิธีการบอกเล่าด้วยการปาฐกถา พบปะพูดคุยแบบถามตอบกับประชาชนจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในครั้งนั้น โดยให้ข้าราชการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และให้รายงานสภาพที่เกิดขึ้นกลับมายังกรุงเทพฯ เพื่อทราบและแก้ปัญหาการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพด้วย (เขมชาติ, 2538)
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลคณะราษฎรจึงเลือกสื่อสารด้วยการปาฐกถาให้ประชาชนฟังเป็นหลักว่า” การเผยแพร่และส่งเสริมให้แก่ประชาชน…ตามทำนองไปในวิธีโปรปะกันดา ซึ่งผู้ที่รู้เห็นโดยมากก็เพียงคนอ่านหนังสือออก ในประเทศของเรา มีพลเมืองที่อ่านหนังสือไม่ออกมีไม่น้อยกว่า 50 ในร้อย เพราะฉะนั้น เพื่อแก้ปัญหาอันนี้ จึ่งจำต้องใช้การพูดแทนเป็นอันมาก และยิ่งได้ผู้พูดภาษาพื้นเมืองแห่งภูมิภาคนั้นๆ เป็นผู้พูดด้วยแล้ว ก็ย่อมมีผลดียิ่งขึ้น” (สำนักงานโฆษณาการ, 2477, 24)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022