รัฐบาลเสียงข้างมากกับ ส.ว.เสียงข้างลุง | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ซึ่งสร้างผลสะเทือนอย่างสูงต่อทั่วทั้งสังคมไทย พรรคก้าวไกล พลังคนรุ่นใหม่ ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ได้ ส.ส.รวม 152 เสียง ตามด้วยพรรคเพื่อไทย ได้ 141 เสียง รวมกับพรรคฝ่ายค้านเดิม และพรรคใหม่ๆ ได้ 310 เสียง ประกาศตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยได้ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังวันเลือกตั้งได้ทันที

เหมือนจะเป็นเรื่องน่ายินดี ที่การเมืองไทยก้าวรุดหน้าไปครั้งใหญ่ เปลี่ยนใหม่อย่างแท้จริง

อีกทั้งพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ได้รับชัยชนะ สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ เป็นการปิดทางสูตรรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ร่ำลือกันมาก่อนหน้านี้

แต่ไปๆ มาๆ รัฐบาลเสียงข้างมากที่นำโดยก้าวไกล เริ่มพบอุปสรรคสำคัญ จนทำให้ลู่ทางไม่สดใสเท่าใดนัก

นั่นคือ ท่าทางการขัดขวางจาก ส.ว. ตั้งป้อมจะไม่โหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แล้วจะส่งผลต่อการตั้งรัฐบาลไปด้วย

แม้จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ มีมากถึง 310 เสียง แต่ในวาระการโหวตตั้งนายกฯ ซึ่งต้องร่วมกัน 2 สภา จะต้องมีเสียงถึง 376 ขึ้นไป โอกาสของแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ต้องขึ้นกับเสียง ส.ว.ด้วย ขออีก 66 เสียง

แต่เป็นที่รู้กันว่า 250 ส.ว.นั้น แต่งตั้งในยุคคณะทหาร คสช. อยู่ในมือของ 2 ลุง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

การขอเสียง ส.ว.อีก 66 เสียง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

รัฐบาลเสียงข้างมากของก้าวไกล อาจจะต้องสะดุด เจออิทธิฤทธิ์ของ ส.ว.เสียงข้างเครือข่ายอำนาจขุนศึกขุนนาง

รัฐบาลเสียงข้างมาก จะฝ่าด่าน ส.ว.เสียงข้างลุง ไปได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันต่อไป

ไม่เท่านั้น ยังมีคดีถือหุ้นสื่อ ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักร้องคนดังอีกราย ไปยื่นร้อง กกต.เอาไว้ ให้ตรวจสอบนายพิธา ว่าเข้าข่ายขัดคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่ง กกต.กำลังจะหยิบขึ้นมาพิจารณาในเร็วๆ นี้

เมื่อนึกถึงคดีถือหุ้นสื่อ ที่เคยทำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องพ้นจากถนนสายการเมืองมาแล้ว ทำให้น่าห่วงใยชะตากรรมของนายพิธาเป็นอันมาก

ไม่ว่าจะเป็นคดีถือหุ้นสื่อ ที่จ่อนายพิธา ไม่ว่าจะท่าทีของ ส.ว.ที่ตั้งป้อมค่ายขวางนายพิธา ไม่ให้รัฐบาลพรรคก้าวไกลได้เกิด

จึงทำให้ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 เริ่มรู้สึกระทึกขวัญ

เสียงของประชาชนที่แสดงออกในคูหาวันเลือกตั้ง เริ่มถูกท้าทายแล้ว

 

ความยินดีปรีดาของประชาชนที่รักประชาธิปไตยในคืนวันเลือกตั้ง เมื่อรู้ผลว่า พรรคก้าวไกลที่มีนโยบายทางการเมืองอันแหลมคม เป็นผู้ชนะ กำลังจะได้เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ไม่ทันไรอารมณ์ก็เริ่มสะดุด เมื่อขั้นตอนในการโหวตเลือกนายกฯ ทำท่าจะมีอุปสรรคจาก ส.ว.

แถมคดีถือหุ้นสื่อ ก็ยังชวนระทึก

ประเด็นสำคัญคือ พรรคก้าวไกล มีนโยบายท้าทายอำนาจเก่าในสังคมไทยอย่างมาก มีนโยบายที่ปะทะกับกลุ่มทุนใหญ่อย่างรุนแรง จึงทำให้เป็นพรรคที่ผู้มีอำนาจและกลุ่มทุนใหญ่ไม่แฮปปี้

ว่ากันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะสามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น เพราะกลุ่มอนุรักษนิยมการเมืองเริ่มเห็นเพื่อไทยดีขึ้นในทันตา เมื่อมีก้าวไกลมาเป็นพรรคเปรียบเทียบ

แต่เมื่อก้าวไกลพลิกขึ้นมาเป็นผู้ชนะ มีสิทธิเป็นนายกฯ และเตรียมตั้งรัฐบาล จึงสร้างความหวาดผวาอย่างสูงให้กับเครือข่ายขุนศึกขุนนาง และคงเป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่จะทำให้เสียงของ ส.ว. ไม่โหวตให้กับนายพิธา

แถมคดีหุ้นที่พิจารณาโดยองค์กรอิสระทั้งหลาย ก็น่าเป็นห่วงในชะตากรรมของหัวหน้าพรคก้าวไกลอย่างยิ่ง

เราจะเห็นได้ว่า ในช่วงท้ายก่อนวันเลือกตั้ง นโยบายหาเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ที่ดันลุงตู่เป็นนายกฯ ได้พุ่งเป้าเข้าใส่พรรคก้าวไกลโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านการสัมภาษณ์ ผ่านการปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เน้นย้ำการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องไม่ปล่อยให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลง โดยเด็กไม่ไหว้ผู้ใหญ่ ไม่ไหว้พระ

ตามด้วยคลิปปลุกความหวาดกลัว กินไข่พะโล้ก็ต้องโหวตก่อน ไม่มีทหารรบตามชายแดน อะไรเหล่านี้

ปั่นกระแสต่อต้านพรรคคนรุ่นใหม่อย่างตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม

โดยปลุกให้คนเก่าๆ ของสังคมไทย ต้องตื่นมาเลือกลุงตู่ให้อยู่ในอำนาจต่อไป ไม่เช่นนั้นสิ่งดีๆ สิ่งเก่าๆ ของสังคมเราจะสูญหายไป เพราะพวกสามกีบชังชาติ

แต่ไปๆ มาๆ คนรุ่นใหม่จำนวนมาก และคนอีกหลายๆ รุ่น กลับแห่ออกมาเลือกพรรคก้าวไกล จนแซงเพื่อไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ยิ่งทำให้เครือข่ายอนุรักษนิยมการเมืองแทบช็อก และต้องวางแผนต่อต้านขัดขวาง

ทั้งอาศัยช่องทางอำนาจ ส.ว.ที่ร่วมโหวตตั้งนายกฯ ได้ และน่าเชื่อว่าช่องทางคดีถือหุ้นสื่ออีกด้วย

น่าเชื่อว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล จะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างพลังเก่าๆ ล้าหลังกับพลังการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่

โดยมีสมภูมิรบคือ การแต่งตั้งนายกฯ และการตั้งรัฐบาล นั่นเอง!

 

วิเคราะห์กันว่า กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ สัญญลักษณ์ชู 3 นิ้ว ที่เคยเคลื่อนไหวลงถนน เป็นม็อบใหญ่ทรงพลังในช่วงปี 2563 และ 2564 แต่เริ่มลดบทบาทลดการเคลื่อนไหวลงไป เมื่อสถานการณ์โควิดระบาดหนัก และแกนนำโดยจับกุมดำเนินคดีกันระนาว

ทำให้ต้องถอยออกจากถนน กลับไปเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลแทน

เหมือนจะหายไป แต่จริงๆ แล้วยังอยู่ แค่เปลี่ยนพื้นที่เคลื่อนไหว

พลังม็อบ 3 นิ้ว ที่เก็บความอัดอั้นตันใจมาในเวลาพอสมควร ได้ออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมอย่างถล่มทลาย เลือกพรรคก้าวไกล ที่มีแนวทางเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยในระดับโครงสร้างอย่างแหลมคม เพื่อให้เป็นหัวหอกในการต่อสู้กับระบบอนุรักษนิยม ให้เข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อกุมอำนาจนำไปสู่การผลักดันปรับเปลี่ยนประเทศ

ประกอบเข้ากับประชาชนที่รักประชาธิปไตย ที่เคยเลือกเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจใหม่ไปเลือกก้าวไกล เพราะอยากเห็นการเมืองเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด

เสียงของเพื่อไทยที่ควรจะได้เกินกว่า 200 ตกวูบลงมาเหลือ 141

แนวทางประชาธิปไตยเพื่อปากท้อง ประชาธิปไตยที่ชาวบ้านกินได้ ของเพื่อไทย เริ่มไม่เป็นที่พึงพอใจ เมื่อเทียบกับประชาธิปไตยเพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบทะลุเพดานของก้าวไกล

นั่นจึงทำให้การเลือกตั้ง 2566 พลิกโฉมการเลือกตั้งกว่าทุกครั้ง และบ่งบอกว่าประชาชนเริ่มต้องการการพลิกโฉมสังคมไทยจริงๆ และพร้อมๆ กันก็ทำให้เครือข่ายอำนาจดั้งเดิม พากันนั่งไม่ติด ปฏิบัติการสกัดกั้นก้าวไกล ไม่ให้ไปถึงฝั่งฝัน ไม่ให้เป็นรัฐบาล จึงต้องเกิดขึ้น

นับจากวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ยังมีขั้นตอนของ กกต. ในการตรวจสอบผล ก่อนรับรองผล ส.ส.อย่างเป็นทางการ อีกราว 2 เดือน

เป็น 2 เดือนที่จะได้เห็นการปะทะกันของพลังคนรุ่นใหม่กับพลังอำนาจเก่า

ก่อนจะไปตัดสินกันในวันโหวตแต่งตั้งนายกฯ หรือในวันตัดสินคดีถือครองหุ้น

แม้พรรคฝ่ายประชาธิปไตย จะสามารถเอาชนะการเลือกตั้ง และจับขั้วตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยบวก 250 ส.ว.ได้

แต่ตอนนี้ต้องลุ้นกันว่ารัฐบาลเสียงข้างมาก จะสะดุดด้วย ส.ว.เสียงข้างลุง หรือไม่

แล้วพลังคนรุ่นใหม่ที่ไปเลือกตั้ง เขาจะยินยอมหรือ!?!