จากปลายกระบอกปืน สู่ปลายนิ้ว เพื่อไทย-ก้าวไกล ปิดสวิตช์ ‘ระบอบประยุทธ์’

ก่อนลืมวันเก่าๆ กันหมดสิ้น

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เคยพูดเคยทำอะไรเอาไว้

ตอนที่เดินทางไปกับคาราวานหาเสียงพรรครวมไทยสร้างชาติ “ประยุทธ์” ประกาศชัดถ้อยชัดคำ ว่าเป็นนายกฯ มาแล้ว 8 ปี ทำมาแล้ว และยังทำอยู่ แต่จะขอทำต่อ

ไม่สนใจ ไม่มีเขิน ไม่มีอายฟ้าดิน!

ลืมไปเสียแล้ว ยังไม่ทันจะครบปี “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติ 6 ต่อ 3 ว่า “ประยุทธ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ครบ 8 ปี”

แต่ด้วยใจที่อยากจะไปต่อ โม้หาเสียงจนเพลินว่าอยู่มาแล้ว 8 ปี สวนทางคำวินิจฉัยจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ”

ชี้เจตนาอยากจะคุยว่า ทำมาแล้ว ทำมาเยอะ และจะขอทำต่อ

ประยุทธ์ไม่พูดแล้ว ไม่สัญญาแล้วว่า “ขอเวลาไม่นาน”

 

ที่ “ลืมไปแล้ว” ยังมีอีก!

“ประยุทธ์” คนที่พรรครวมไทยสร้างชาติหมายมั่นจะส่งให้นั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้งคนนี้ คงจะลืมไปแล้วว่า เคยพูด เคยนำเสนอ “แนวทางแก้ปัญหา” อันเฉียบแหลมอย่างไรเอาไว้กับประชาชน

เช่น เมื่อประชาชนประสบภัยน้ำท่วม นายกรัฐมนตรีคนนี้เคยชี้ทางบรรเทาทุกข์ให้ “สวดมนต์” หรือไม่ก็ให้ย้ายไปอยู่ที่สูง

น้ำท่วมนาข้าวก็ให้เปลี่ยนไปเลี้ยงปลา ราคาข้าวตก แนะให้ปลูกหมามุ่ย ราคายางพาราแย่หนัก จากกิโลกรัมละ 120 เหลือ 3 กิโล 100 บอกให้เอาไปขายที่ “ดาวอังคาร”

แก๊สหุงต้มแพง แนะให้ไปใช้เตาอั้งโล่ น้ำมันแพง ให้ประหยัด ผักชีแพง ก็ให้ทหารใช้พื้นที่ว่างปลูกผักชีมาขายแข่งชาวบ้าน รถบรรทุกหยุดวิ่ง โลจิสติกส์อัมพาต บอกว่าจะเอารถยีเอ็มซีทหารมาวิ่งแทน

ที่แสบสุดบรรเจิดเลิดล้ำแปดหมื่นสี่พันคือ อาหารทะเลแพง ไล่ให้ไปทำงานมากๆ เข้าไว้จะได้ไม่จน มีเงินซื้อของกินแพง ฯลฯ

 

บนถนนเสรีประชาธิปไตยที่ไม่อาศัย “อาวุธ” ปล้นชิงนี้ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องต่อสู้กันด้วยสติปัญญา เครือข่ายบริวารการเมืองฝ่ายอนุรักษ์สุดลิ่มจึงคิดได้แต่เพียง “กลยุทธ์การทำลาย”

เช่น โหมประโคมใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามชนิดไม่ให้ผุดให้เกิด เช่นเดียวกับที่เคยใช้ “ผังล้มเจ้า” ใส่ร้ายผู้ชุมนุมเมื่อปี 2553 ผลิตชุดวาทกรรมทำลายคู่แข่งว่าชังชาติ จุดไฟความเกลียดชังด้วยการเปิดเพลงปลุกระดมหนักแผ่นดิน ให้ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี ปั่นกระแสให้ข้าราชการบำนาญ หรือให้ทหารอาชีพรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ต่อต้าน แบ่งแยกแล้วปกครอง

ลืมกันไปหมดสิ้นแล้วว่า เคยมีชายชาติทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า “คสช.” ได้สัญญาเอาไว้ว่า จะมาปรองดอง ทำงานเพื่อระงับทุกข์ สร้างความสุข และ “ขอเวลาไม่นาน”

แต่ “มานานแล้ว ไม่ยอมไป” ทั้งยังวางแผนสืบทอดอำนาจยาวๆ ถึงขนาดถ้ารุ่นปัจจุบันตายเกลี้ยง ยุทธศาสตร์ที่มีต้นธารมาจาก “รัฐประหาร” ก็ยังคงอยู่ กำเริบเสิบสานครอบงำองค์กรอิสระ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ลิดรอนบั่นทอนอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยพร้อมกับสถาปนาอำนาจให้ “250 ส.ว.” โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแข่งกันเสียงจากผู้แทนราษฎร

ย้อนทวนดู “แผนประทุษกรรม” ทางการเมืองกันสักหน่อยจะเห็นภาพชัดขึ้น

 

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจจาก “ชินวัตร” ผู้พี่ พรรคการเมืองไทยในสายนี้

“ไทยรักไทย” ถูกยุบ ตั้งใหม่เป็น “พลังประชาชน” ถูกยุบอีก แตกออกไปเป็น “ไทยรักษาชาติ” ก็ถูกยุบ

8 ปีต่อมา รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจจาก “ชินวัตร” ผู้น้อง

จุดประกายในหัวใจคนรุ่นใหม่กระทั่งเกิด “พรรคอนาคตใหม่” ขึ้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับคณะเวลานั้นมีเพียงความฝัน ความคิด มีความเชื่อ และความมั่นใจในระบอบรัฐสภา แม้ว่าจะต้องต่อสู้ภายใต้กติกาฉ้อฉลพิกลพิการ

ไม่น่าเชื่อว่า การเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นครั้งแรกภายหลังรัฐประหารปี 2557 นั้น “พรรคอนาคตใหม่” จะได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น กลายเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับ 3

แต่โอกาสของ “อนาคตใหม่” และ “ธนาธร” ต้องดับวูบลง!

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากเหตุ “กู้เงิน” มาทำกิจกรรมทางการเมืองช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2562

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค, กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, ชำนาญ จันทร์เรือง, พล.ท.พงศกร รอดชมภู, รณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรค, ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค, พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค, นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ และกรรมการบริหาร รวมทั้งสิ้น 16 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี

 

นํ้าตาและความผิดหวังแปรเปลี่ยนเป็นพลัง

จาก “อนาคตใหม่” สู่ “ก้าวไกล” ทุกคนที่ทั้งหมดอยู่เหมือนมดงาน ตั้งใจทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเข้มข้นและโดดเด่น ประสานกับ “คณะก้าวหน้า” ที่ธนาธรและคณะเปลี่ยนแนวไปลงพื้นที่ลึกถึงการเมืองท้องถิ่น เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งจึงทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ให้กับผู้สมัครและพรรคก้าวไกลได้อย่างทรงประสิทธิภาพ

รัฐประหารไม่ใช่ “ทางแก้”

เป็น “ต้นตอ” ของปัญหาทั้งปวง

ไม่มีคำว่าปรองดอง ประคับประคอง ให้โอกาส มีแต่คนละฝั่งคนละพวก ไล่ฟาด กลั่นแกล้งรังแก บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดกับฝ่ายหนึ่ง บิดเบือน ย่อหย่อนผ่อนปรน ปล่อยผ่านไม่เอาความกับอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่มีการปรับปรุงปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ยกสูงขึ้น ดัชนีทุกด้านมีแต่ตกต่ำดำดิ่งหัวทิ่มลง การทุจริตคอร์รัปชั่นลุกลามฝังลึกอยู่ระบบราชการและเครือข่ายธุรกิจที่ผูกขาดหนักขึ้น ที่ควรมีและเป็นอิสระ ก็ไม่อิสระที่ควรตรงก็คด ไม่มีเสมอหน้าเท่าเทียม ความจนแผ่กระจาย รัฐภาคภูมิใจกับการแจกบัตรสวัสดิการคนจนได้เพิ่มขึ้น

คำพูดและผลงานของ “ประยุทธ์” กับพรรคฝ่ายรัฐบาลที่ทำมาได้พิสูจน์สิ้นแล้วจาก 1 คน 1 เสียงที่แสดง “เจตจำนง” ผ่านเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566

จากนี้ก็เหลือแต่ “เพื่อไทย-ก้าวไกล” กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลายว่า จะสามารถ “ลดอัตตา” ลงแล้วร่วมมือร่วมใจกันปิดสวิตช์ประยุทธ์และเครือข่ายได้หรือไม่!?!!