ก้าวไกลเปลี่ยนเกมการตั้งรัฐบาล | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ไปแล้ว ก้าวไกลกลายเป็นพรรคการเมืองที่ “กระแส” พุ่งแรงขึ้นทุกวัน

เพราะนอกเหนือจากโพลมติชน, ข่าวสด, เดลินิวส์ และไทยรัฐจะให้ผลเหมือนกัน โพลของ ม.ศรีปทุมก็รายงานผลตรงกันด้วย แม้แต่ดุสิตโพลก็พูดถึงก้าวไกลในลักษณะเดียวกัน

แน่นอนว่าคำว่าพุ่งแรงแปลว่าก้าวไกลแซงเพื่อไทยอย่างในโพล ม.ศรีปทุมและ 4 สื่อยักษ์ก็ได้ หรือจะแปลว่าพุ่งขึ้นแต่ยังไม่แซงอย่างในสวนดุสิตโพลก็ได้อีก

แต่ที่แน่ๆ ทิศทางคะแนนของก้าวไกลเป็นขาขึ้น ขณะพรรคใหญ่ที่เป็นคู่แข่งก้าวไกลเป็นขาลง ส่วนจะลงมากหรือน้อยก็แล้วแต่กรณี

โพลหน่วยงานความมั่นคงระบุว่าก้าวไกลอาจได้ ส.ส. 80-100 ราย ซึ่งก็ตรงกับโพลภายในที่พรรคใหญ่จ้างคนสำรวจจนได้ผลที่ทั้งพรรคคอตก, อาจตรงกับโพลสถานศึกษาที่ก้าวไกลเป็นอันดับ 2 แบบรดต้นคอก่อนวันที่ 20 เมษายน ซ้ำยังไล่เลี่ยกับการประเมินของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และเลขาฯ พรรคก้าวไกล

ล่าสุด แม้กระทั่งนิด้าโพลที่แพทองธาร ชินวัตร เคยนำมาตั้งแต่กลางมีนาคม พอถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ก็ถูกพิธาแซงเป็นนายกฯ อันดับ 1

มิหนำซ้ำคะแนนนิยมต่อพิธายังพุ่งจาก 20.25% ในวันที่ 19 เมษายน เป็น 35.44% จากการสำรวจช่วงวันที่ 24-28 เมษายน ซึ่งเท่ากับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงจุดที่พุ่งแรงขึ้นเกือบเท่าตัว

จากตัวเลขของนิด้าโพล ถ้าคำนวณคะแนนเสียงจริงของก้าวไกลแบบเขตให้ต่ำกว่าโพลลง 20% ก้าวไกลจะได้ ส.ส.ระดับเขต 108 คน

ส่วนคะแนนบัญชีรายชื่อถ้าคำนวณให้ต่ำกว่าโพลลง 10% ก้าวไกลจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 31-32 คน

หรือรวมทั้ง ส.ส.ทั้งสองระบบราว 140 คน

 

พรรคเพื่อไทยพูดทางตรงและทางอ้อมเรื่องเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่ผู้สนับสนุนพรรคอื่นต้องเลือกเพื่อไทยพรรคเดียว และถึงแม้เพื่อไทยจะไม่ได้พูดตรงๆ ว่าคำว่า “พรรคอื่น” หมายถึงก้าวไกล แต่คนของพรรคก็ทำจนทุกคนรู้ว่าเพื่อไทยต้องการให้คนเลือกก้าวไกลมาเลือกเพื่อไทย 100 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลของเพื่อไทยเคลียร์ว่าถ้าไม่เลือกเพื่อไทยพรรคเดียว ก็ไม่มีโอกาสที่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะได้เป็นรัฐบาล

แต่เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยก็เคลียร์เช่นกันว่าเลือกก้าวไกลและพรรคอื่นๆ แล้วรวมเสียงกับเพื่อไทยก็ได้ผลลัพธ์คือรัฐบาลจาก “ฝ่ายประชาธิปไตย” ได้ด้วยเหมือนกัน

ด้วยแนวคิดเรื่องเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์แบบเพื่อไทย ชัยชนะของทุกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยถูกกินรวบให้เท่ากับเพื่อไทยชนะแค่พรรคเดียว

ผลคือเพื่อไทยมุ่งแย่งคะแนนก้าวไกลเพราะเชื่อว่าคนเลือกก้าวไกลคือคนเคยเลือกเพื่อไทยหมด ทั้งที่คนรุ่นใหม่นับล้านหลังปี 2557 ไม่เคยเลือกเพื่อไทยเลย

ไม่ว่าจะชอบหรือเกลียด หรืออิจฉาก้าวไกล ความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือทุกโพลคะแนนก้าวไกลพุ่งขึ้นหมด

ยิ่งกว่านั้นคือการรวมตัวในรูปแบบการปราศรัยหาเสียงก็มีผู้เข้าร่วมมากขึ้นจนเหลือเชื่อ

และแรงกระเพื่อมจากก้าวไกลก็ส่งผลให้พรรคใหญ่อื่นๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการหาเสียงด้วยจริงๆ

 

ไม่ว่าผลเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม จะเป็นแบบที่เพื่อไทยต้องการให้ทุกคนเลือกโดยไม่สนใจผู้สมัคร ส.ส.หรือนโยบายเลย หรือเป็นแบบที่ก้าวไกลกระแสในโพลแรงจนได้ ส.ส.มากตามไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือกระแส “เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์” ไม่มีผลต่อการกินรวบคะแนนมากเท่าที่เพื่อไทยประเมิน

เพื่อไทยพูดถูกว่าการได้ตำแหน่งนายกฯ ต้องได้ ส.ส.กับ ส.ว.รวมกันมากกว่า 375 คน แต่เพื่อไทยทำไม่สำเร็จในการบอกว่าทำไมการได้ ส.ส.ให้มากพอเท่ากับการห้ามเลือกพรรคอื่น

หรือพูดง่ายๆ คือ เพื่อไทยล้มเหลวในการบอกว่าเพื่อไทยทำหน้าที่แทนทุกพรรคการเมืองได้ในสภา

น่าสังเกตว่าขณะที่เพื่อไทยใช้การไล่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเครื่องมือสร้าง “จุดร่วม” ให้ผู้สนับสนุนพรรคอื่นเทคะแนนให้เพื่อไทย

ก้าวไกลกลับแสดงให้เห็นถึง “ความแตกต่าง” ที่ก้าวไกลมีจากเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นท่าทีต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, ความตรงไปตรงมา, การแก้กฎหมายอาญา ม.112 ฯลฯ

ขณะที่เพื่อไทยอึดอัดว่าทำไมก้าวไกลพูดเรื่องที่เพื่อไทยไม่ทำจนเหมือนโจมตีเพื่อไทย

ก้าวไกลกลับต้องพูดเพื่อให้ “มวลชน” เห็นความต่างจากเพื่อไทย เพราะในเมื่อเพื่อไทยทำเหมือนพรรคอื่นเป็นสิ่งที่ทดแทนได้ (Replaceable) ก้าวไกลก็ต้องบอกว่าเพื่อไทยทดแทนก้าวไกลไม่ได้เลย (Irreplaceable)

ต่อให้ก้าวไกลไม่แสดงให้เห็นความแตกต่างจากเพื่อไทย องค์ประกอบต่างๆ ของเพื่อไทยก็ทำให้คนเห็นความแตกต่างกับก้าวไกลเยอะไปหมด

ไม่ว่าวิธีตั้งคนเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ, ที่มา ส.ส.เขต, นักการเมืองบ้านใหญ่ ฯลฯ ซึ่งยิ่งทำให้การบอกว่าให้เลือกเพื่อไทยแทนก้าวไกลเป็นไปไม่ได้เลย

ส.ส.บัญชีรายชื่อของหลายพรรคใหญ่คือนักการเมืองที่ย้ายพรรคไปทั่วจนเป็นรัฐมนตรีขาประจำทุกรัฐบาล หรือไม่ก็ตระกูลการเมืองที่ผูกขาดจังหวัดปู่ยันหลานโดยจังหวัดไม่มีอะไรดีขึ้น

บัญชีรายชื่อของก้าวไกลกลับเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยมัวหมองทุจริต และ ส.ส.อันดับ 4 คือผู้นำกรรมกรโรงงาน

 

หากเพื่อไทยต้องการให้ทุกคนเลือกเพื่อไทยพรรคเดียว เพื่อไทยต้องทำให้คนเชื่อว่าเพื่อไทยทำได้ในเรื่องที่ก้าวไกล, เสรีรวมไทย และประชาชาติทำแล้ว นั่นคือกล้าปราบโกงอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส, ปกป้องคน 3 จังหวัดภาคใต้อย่างประชาชาติ หรือสู้กับผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมาอย่างก้าวไกล

พรรคเพื่อไทยพยายามปรับตัวโดยออกนโยบายที่โอบรับความต้องการของคนกลุ่มใหม่ๆ แบบที่ก้าวไกลเคยทำอย่างสมรสเท่าเทียม, สุราก้าวหน้า, LGBTQ ฯลฯ แต่เมื่อเพื่อไทยพูดเรื่องนี้หลังจากก้าวไกลทำไปแล้ว 4 ปี นโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่การแย่งคะแนนเสียงได้แค่ไหนย่อมไม่ง่ายเลย

ไม่มีปัญหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะจบด้วยชัยชนะของเพื่อไทย แต่ปัญหาคือไม่มีโพลไหนบอกว่าเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์จนได้ ส.ส. 377 หรือได้ ส.ส.เกินครึ่งสภา

ซ้ำทุกโพลยืนยันว่าเพื่อไทยและก้าวไกลได้ ส.ส.รวม 300 ซึ่งเท่ากับขาด ส.ว.และ ส.ส.อีก 80 เพื่อให้มีนายกฯ จากประชาชนจริงๆ

สำหรับพรรคการเมืองที่สู้เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ สัปดาห์สุดท้ายของการเลือกตั้งคือสัปดาห์ที่ต้องช่วงชิงเสียงพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจ รวมทั้งแย่งคะแนนผู้สนับสนุนฝ่ายรัฐบาลให้มากที่สุด

ไม่ใช่สาละวนอยู่กับการแย่งคะแนนกันเองเพื่อเป็นผู้ชนะในเสียง ส.ส. 300 ซึ่งไม่มีความหมายอะไรเลย

 

หากเพื่อไทยและก้าวไกลล้มเหลวในการดึงเสียงพลังเงียบและผู้สนับสนุนรัฐบาล ผลที่จะเกิดขึ้นคือเพื่อไทยต้องเจรจาให้พลังประชารัฐหรือภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเมื่อคำนึงว่าก้าวไกลได้ประกาศแล้วว่า “มีลุงไม่มีเรา” ก็เท่ากับภูมิใจไทยเป็นทางเลือกเดียวของฝ่ายเพื่อไทยเท่านั้นเอง

ด้วยการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่เน้นแย่งคะแนนจากฝ่ายเดียวกัน ภูมิใจไทยจะกลายเป็นพรรคที่มีอำนาจต่อรองสูงสุดหลังการเลือกตั้งอย่างเหลือเชื่อ เพราะถ้าภูมิใจไทยปฏิเสธจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย ทางเลือกที่เพื่อไทยมีเหลือก็ได้แก่ดึงประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

พลังประชารัฐคือพรรคที่ประชาชนระแวงที่สุดว่าเพื่อไทยจะจับมือตั้งรัฐบาล แต่ถ้าเพื่อไทยหน้ามืดทำแบบนั้นจริงๆ คุณเศรษฐา ทวีสิน, คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว ที่ประกาศว่าไม่เอาพลังประชารัฐก็จะเสียหายย่อยยับ พรรคก้าวไกลจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลด้วย

และในที่สุดเพื่อไทยก็ต้องง้อภูมิใจไทยอยู่ดี

ถ้าเพื่อไทยไม่ประสบความสำเร็จในการดึงภูมิใจไทยตั้งรัฐบาล ผลที่จะเกิดขึ้นคือคุณประยุทธ์อาจได้เป็นนายกฯ จากเสียง ส.ส.และ ส.ว.รวมกัน แต่เป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ แล้วดูด ส.ส.งูเห่าจากเพื่อไทย, ก้าวไกล และพรรคอื่นๆ โดยเฉพาะหากพรรคหนึ่งพรรคใดถูกยุบแบบอนาคตใหม่โดน

จริงอยู่ว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ได้ไม่นาน และถ้าการดูด ส.ส.งูเห่าทำไม่สำเร็จจนได้เสียง ส.ส.เต็มที่ไม่ถึง 250 รัฐบาลเสียงข้างน้อยของคุณประยุทธ์คงคว่ำตั้งแต่เสนอ พ.ร.บ.งบประมาณกลางปีก็ได้

แต่ผลที่ได้คือการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเพื่อไทยและก้าวไกลต้องมาเหนื่อยครั้งใหญ่อยู่ดี

 

การเมืองในปี 2566 ไม่ใช่การเมืองแบบทศวรรษ 2540 ที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีแต่ไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย

โพลและการแสดงออกนอกโพลยืนยันว่าก้าวไกลและคนเลือกก้าวไกลต้องการสิ่งเพื่อไทยทำแทนไม่ได้

และการเชิญชวนให้เลือกเพื่อไทยพรรคเดียวไม่มีน้ำหนักให้คนเชื่อได้เลย

ไม่มีทางเลือกสำหรับความขัดแย้งระหว่างเพื่อไทยและก้าวไกลต่อไปอีกแล้ว เพราะความขัดแย้งจะนำไปสู่การตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย,  และโอกาสในการทำลายพรรคฝ่ายประชาธิปไตยโดยกลไกอิสระภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการนำไปสู่การสูญเสียโอกาส ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย