ดิจิทัล วอลเล็ต ดันคะแนนขึ้น…แต่ไม่มากพอ ดิจิทัล wallet ของเพื่อไทย ที่ต้องอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ

มุกดา สุวรรณชาติ

1.พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจ่ายเงินดิจิทัลครั้งเดียว คนละ 1 หมื่นบาท ประมาณ 54 ล้านคน เพื่อให้คนจำนวนมากช่วยกันใช้จ่ายเงินในระยะเวลาสั้นๆ ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อกระตุ้นธุรกิจ อาชีพ ทำให้เงินหมุนเวียน และกระจายในพื้นที่ต่างๆ

หลักการของพรรคเพื่อไทยให้สิทธิอันนี้แบบถ้วนหน้าแก่ทุกคนถือว่าถูกต้องแล้ว เหมือนกับสิทธิในการใช้บัตรทองรักษาตามโรงพยาบาล

คนที่มีอันจะกินจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้ไปใช้สิทธิอันนี้ พวกเขาไปเข้าโรงพยาบาลเอกชนหรือใช้บริการจากประกัน คนที่มีเงินไม่เพียงเสียภาษี Vat แต่ยังเสียภาษีบุคคลธรรมดาประจำปี บางคนเสียมา 20-30 ปีแล้ว ถ้าถึงเวลาจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วไม่จ่ายให้พวกเขาก็ถือว่าไม่เป็นธรรม

2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของเพื่อไทย ใช้เงินพอๆ กันหรือน้อยกว่า ต่างจากนโยบายจ่ายเงินสวัสดิการของพรรคอื่น ซึ่งจ่ายอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปี และไม่มีกำหนดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด แต่จ่ายเฉพาะกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย หรือผู้ถือบัตรคนจนเป้าหมายเป็นการช่วยเหลือ เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยในแต่ละเดือน แต่ถ้านับตลอดทั้ง 4 ปีจะใช้เงินมากกว่าโครงการดิจิทัล wallet ของพรรคเพื่อไทย

บางพรรคจึงคุยว่าเขาจ่ายให้ประชาชนมากกว่า ถ้าเดือนละ 1,000 บาท 4 ปีก็ 48,000 บาท (ต้องหาเงิน 672,000 ล้าน) และยังไม่จำกัดวิธีการใช้จะใช้ที่ไหน จ่ายอะไรก็ได้

ชาวบ้านอาจมองเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยไม่ชัดเจน แต่ทุกครอบครัวมองเห็นประโยชน์อย่างแรกก็คือการได้เงินคนละหมื่น ถ้าครอบครัวที่อยู่ในเงื่อนไขมี 5 รายก็จะได้ถึง 50,000 บาท

เงิน 50,000 บาทที่ได้มาครั้งเดียวนี้สามารถนำมาลงทุนเล็กน้อยได้ เปิดทำมาค้าขายขนาดเล็กได้ เงินก้อนนี้มีความหมายมากสำหรับคน 80% ที่มีสิทธิได้รับ

 

การเลือกตั้งครั้งนี้
มีการเปรียบเทียบนโยบายพรรค มากที่สุด

คนทั่วไปเชื่อว่า เพื่อไทยทำจริง จึงมีการเปรียบเทียบกับนโยบายแจกเงินสวัสดิการของพรรคอื่น เพื่อดูว่าประชาชนและประเทศได้ประโยชน์อย่างไร

1. จำนวนผู้ที่ได้รับประโยชน์ และจำนวนเงิน

โครงการดิจิทัล wallet ของพรรคเพื่อไทย มีมากเกินกว่า 50 ล้านราย ใช้เงิน 540,000 ล้าน สร้างผลสะเทือนทางการเมือง ดังนั้น จึงถูกต่อต้านจากคู่แข่งอย่างหนัก และมีการเปรียบเทียบว่าพรรคที่จ่ายแบบบำนาญประชาชนดีกว่า เพราะให้คนอายุเกิน 60 ปีคนละ 3,000 บาทต่อเดือน จ่ายปีละ 36,000 ต่อคน ปี 2567 ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี มีประมาณ 14.1 ล้านคน โครงการบำนาญ ต้องหาเงินมาจ่ายปีละ 507,600 ล้านบาท 4 ปีก็มากกว่า 2 ล้านล้าน

2. ประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวม

ถ้าคนวิเคราะห์เป็นและรู้การเมืองก็จะเข้าใจว่าเพื่อไทยไม่ได้ให้เงินมาเพื่อกินกันตาย แต่ตั้งเป้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงกำหนดเวลาและวิธีการใช้เงิน เนื่องจากเป็นเงินที่ผ่านระบบควบคุมว่าจะต้องใช้ในพื้นที่ที่กำหนดและไม่ซื้อของที่ต้องห้าม จะไปใช้ซื้อของออนไลน์ให้ส่งจากกรุงเทพฯ มายังบ้านนอกก็ทำไม่ได้ ความแตกต่างตรงนี้ทำให้ผู้ลงคะแนนมองว่าเพื่อไทยใช้เงินเป็น และพวกเขาก็ได้ประโยชน์ถ้าเขานำไปใช้อย่างถูกต้อง แต่ก็ยุ่งยากกว่า

เพราะกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงิน ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่เสียภาษีหรือมีโอกาสจะต้องเสียภาษีในอนาคตอันใกล้ รัฐจึงได้ประโยชน์ทั้งการวางฐานภาษีให้ขยายกว้างออกไปและวางระบบภาษีให้เข้ากับระบบการเงิน ที่เป็นแบบสมัยใหม่

 

เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ เสรีรวมไทย
อาจได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์
ถึง 21 ล้านคะแนน

คะแนนของฝ่ายประชาธิปไตยในปี 2554 ประมาณ 15 ล้านคะแนน แต่จากการสำรวจพบว่าคะแนนของเพื่อไทยครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 14-16 ล้าน และคะแนนของก้าวไกลจะอยู่ที่ประมาณ 6 ล้าน

แสดงว่าคะแนนฝ่ายประชาธิปไตยจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 22 ล้าน ถ้านับรวมพรรคเล็กๆ ด้วย ความเป็นไปได้นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเวลาผ่านมาถึง 12 ปีมีเยาวชนคนหนุ่มสาวที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่หนุนต่อเนื่องมา 12 รอบ มีการเปลี่ยนแปลงด้านการสื่อสารอย่างมากทำให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลและเข้าใจการเมืองและข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งการปกครองในรอบ 8 ปีทำให้คนเดือดร้อนอย่างหนัก โอกาสที่คนจะเปลี่ยนมาเลือกฝ่ายค้านเพราะต้องการการเปลี่ยนแปลงจึงมีสูงมาก

นโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารของก้าวไกล น่าจะได้คะแนนเสียงจากคนกลางๆ และอาจได้คะแนนเสียงข้ามฟากจากผู้ที่เคยเชียร์พรรคร่วมรัฐบาล

ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย คงทำให้คะแนนเสียงของพรรคสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจากกลุ่มกลางๆ ถ้าไม่ถูกสกัดแบบกรณีรถไฟความเร็วสูง

แต่ในโลกยุคดิจิทัล คงไม่มีใครแนะนำให้กลับไปใช้เงินพดด้วง

 

นโยบายนี้ทำให้พรรคเพื่อไทย
แลนด์สไลด์ได้ระดับไหน?

เป้าหมายแลนด์สไลด์ของเพื่อไทย คือสกัดไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ทำลายโอกาสของ ส.ว.บางกลุ่ม ที่คิดจะฟื้นอำนาจรัฐบาลเก่า ดังนั้น คำว่าแลนด์สไลด์ ขั้นแรกของเพื่อไทยคือได้ ส.ส.เกิน 250 ถ้าได้ต่ำกว่า 250 แม้ไปรวมกับพรรคแนวร่วมแล้วได้เกิน 250 ก็ไม่ถือว่าแลนด์สไลด์ แต่ก็เป็นชัยชนะขั้นหนึ่ง

แลนด์สไลด์ระดับ 2 คือต้องได้เกิน 265 เมื่อรวมกับพรรคแนวร่วมแล้วได้ถึง 310 ทำให้โอกาสชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล มีมากขึ้น

ส่วนแลนด์สไลด์ขั้นที่ 3 คือได้ ส.ส.พรรคเดียวถึง 310 เสียง จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่น่าเป็นไปได้

ขณะนี้สถานการณ์ของเพื่อไทยดีขึ้นอีกเมื่อมีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัล wallet แต่ยังไม่มากพอที่จะชนะในเขตแย่งชิง เพราะในแต่ละพื้นที่กระแสพรรคช่วยได้ส่วนเดียวเท่านั้น ระบบอุปถัมภ์และหัวคะแนนยังมีอิทธิพลในสนามจริง โดยเฉพาะเขตนอกเมือง

เพื่อไทยและก้าวไกลจะได้ที่ 2 และที่ 3 ถึง 200 เขต แพ้มากหรือน้อยก็ไม่ได้ ส.ส.เขต สถานการณ์ปลายเดือนเมษายน เพื่อไทยชนะ 210 เขต ก็เก่งแล้ว

 

การตัดคะแนนกัน
เป็นเรื่องปกติที่จะกระทบทุกพรรค

กระแสพรรคก้าวไกล ดีมาก ถ้าได้ ส.ส.เท่ากับการเลือกตั้งปี 2562 ก็อยู่ที่ประมาณ 80 คน แต่เนื่องจากระบบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปแล้ว แม้ก้าวไกลจะได้เสียง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เกิน 6 ล้าน โอกาสได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็จะอยู่ที่ 17-20 คน

แต่การต่อสู้ชิง ส.ส.เขตที่มีโอกาสได้ชัยชนะยังไม่มีตัวเลขชัดเจน แต่เลขาธิการพรรคเคยประเมินไว้ว่าเขามีสิทธิสู้ได้ถึง 145 เขต รวมทั้ง กทม. 33 เขตด้วย

ถ้าก้าวไกลหวังจะได้ ส.ส.ใกล้เคียงของเดิมจะต้องได้ ส.ส.เขตถึง 60 คน การชนะ 50-60 เขตในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ตามที่ประเมินกันขณะนี้พรรคที่มีโอกาสเป็นไปได้คือพรรคภูมิใจไทยซึ่งดูด ส.ส.เก่าที่มีบารมีไปไว้ในสังกัดจำนวนมาก

ถ้ายุทธศาสตร์ของก้าวไกลต้องการขยายจำนวน ส.ส. จะต้องประเมินเขตที่มีโอกาสสูงและทุ่มเททรัพยากรกำลังคนเข้าสู่จุดนั้น เพราะถ้ากระจายกำลังมากไปแล้วสามารถผลักดันคะแนน ส.ส.เขตขึ้นสูงแต่ได้เพียงแค่ที่ 2 ในแต่ละเขตถึง 90 เขต สู้ชนะที่ 1 ให้เกิน 30 เขตดีกว่า

การตัดคะแนนกันของ 6 พรรค ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมขณะนี้ก็ใช้ยุทธศาสตร์ที่จะสู้ ตามเป้าหมายที่มีโอกาสชนะจริง อยู่ที่ประมาณ 50-70 เขต ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยซึ่งมีทรัพยากรและ ส.ส.เก่าจำนวนมากจึงต้องขยายเขตต่อสู้ออกไปเกิน 100 เขต

30 เขตใน กทม. ก้าวไกลกับเพื่อไทยคงสู้กันเป็นตัวหลัก

ส่วนในเขตปริมณฑลรอบ กทม.อีก 33 เขต นอกจาก 2 พรรคนี้ก็ยังมีภูมิใจไทยและพลังประชารัฐ ซึ่งแข็งแกร่งในหลายเขต

จึงยังประเมินไม่ได้ว่าจะทำให้ทั้งสองพรรคฝ่ายประชาธิปไตยแพ้ด้วยกันไปในเขตใดบ้าง

ถ้าจะนับการพ่ายแพ้จากการตัดคะแนนกันเอง ในขอบเขตทั้งประเทศ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นทั้ง 6 พรรค แต่เพื่อไทยเข้าแย่งชิงเขตมากที่สุด จึงมีโอกาสเสียหายมากที่สุด รองลงมาคือก้าวไกลและภูมิใจไทย