ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ |
เผยแพร่ |
“มีคนหลายคนคิดเรื่องของการจัดตั้งพรรค (ทหาร) แต่ผมในฐานะที่เป็นทหารด้วยและผ่านสนามการเมืองมาพอสมควร เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและเข้าไปเป็น ส.ส. ในสภาบอกได้เลยว่า “ไม่ง่าย” การที่ทหารจะจัดตั้งพรรคแล้วเข้าไปเล่นการเมืองต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ปัจจัยแรก คือเรื่องของ “คน” ที่จะเข้ามาสู่พรรคทหาร ผมยังมองไม่เห็น ปัจจัยที่สอง คือเรื่องของ “เงินทุน” ที่ต้องใช้ ผมก็มองไม่เห็นว่าทหารคนไหนที่มีพลังอำนาจทางการเงินหรือจัดการตรงนี้ได้ ปัจจัยสุดท้ายคือ “หลักการบริหาร” กิจการภายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ทหารเองมีประสบการณ์ในสภาน้อยมาก”
“ทุกวันนี้ที่ทหารดูแลสภา ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าเป็นระบบของทหาร แต่พอเข้าไปสู่ระบบการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นเรื่องที่ ไหนจะมีทั้งฝ่ายค้าน ไหนจะมีขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย งบประมาณต่างๆ ทุกเรื่องยากและซับซ้อนมาก ฉะนั้น การตั้งพรรคทหารเพื่อเสนอตัวเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ความรู้สึกส่วนตัวของผมคือเป็นงานยาก”
นี่คือมุมมองของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อดีตรองนายกฯ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อดีต ส.ส.พรรคมาตุภูมิ ที่เคยตัดสินใจกระโดดลงสู่สนามการเมืองเต็มตัวมาแล้ว
พล.อ.สนธิเล่าว่า ความจริงแล้วไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง แต่มีที่มาเกิดจากสมัยเป็นทหาร ได้ลงไปทำงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เมื่อปี 2547 อยากจะแก้ปัญหาภาคใต้ แต่แก้ไม่ได้ ซึ่งมองเห็นเลยว่าส่วนบนทั้งกองทัพ-นักการเมืองเป็นส่วนที่ทำให้แก้ไม่ได้
พอเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. จะเข้าไปแก้ก็แก้ไม่ได้เพราะฝ่ายการเมือง
เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นต้องเป็นนักการเมือง แต่พอเป็นนักการเมืองแล้ว ก็แก้ไม่ได้อีก ฉะนั้น เจตนารมณ์เดิมต้องการเป็นนักการเมืองเพราะต้องการแก้ปัญหาภาคใต้ แต่ปรากฏว่าก็ไม่สามารถแก้ได้ ที่ผ่านมาจึงถือว่า “การเมืองเป็นบทเรียนของชีวิตแล้วกัน”
: ท่าที “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ตั้ง-ไม่ตั้งพรรคทหาร
จากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการตอบคำถามสื่อมวลชน ว่าจะตั้งหรือไม่ตั้งพรรคทหารนั้น ผมมองว่าเป็นกุศโลบายของทั้งสองคน ซึ่งในใจผมมีความรู้สึกว่าถ้าตั้งขึ้นมาเมื่อไหร่เหนื่อยมาก แล้วยังมีอีกหลายปัญหาตามมามากมาย
ส่วนผลโพลที่สนับสนุน คสช. นั้น มันขึ้นอยู่กับว่าไปสำรวจที่ไหนอย่างไร?
บางทีชี้วัดได้ส่วนหนึ่งแต่ไม่สามารถบอกได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา ผลสำรวจกับความจริงสวนทางกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าผลสำรวจไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันได้
ประชาชนส่วนหนึ่งอาจจะชอบทหารก็อยากจะหนุนให้อยู่ต่อ แต่อย่าลืมว่าอีกส่วนก็ไม่ชอบและอยากให้เปลี่ยนรัฐบาล
นี่คือธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยที่มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เสียงส่วนมากจะเป็นตัวกำหนด ผลการเลือกตั้งจะเป็นคำตอบ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับ คสช. มาก เขามีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล จะไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นความต้องการของประชาชน
แต่ถ้าผลงานที่ คสช. ทำมาตลอด 3 ปีกว่า ประชาชนไม่เอาด้วยเขาไม่เลือก ฉะนั้น ต้องรอดูผลเสียงส่วนมาก
: สูตรรวมเสียงพรรคเล็ก-กลาง หนุน คสช. เป็นรัฐบาล
วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ถ้ามองจากกรอบการเมือง จะเห็นว่าฝ่ายที่ไม่เอาแน่ๆ ก็คือพรรคเพื่อไทย จะอยู่ขั้วตรงข้าม แต่ว่า “พรรคอื่น” อาจจะรวมตัวกัน มันเป็นธรรมชาติของการเมืองที่น่าจะเกิดขึ้นได้ แล้วก็เป็นหนทางปฏิบัติในอดีตที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้น ถ้า คสช. อยากจะเป็นรัฐบาล ผมคิดว่าวิธีนี้ง่ายที่สุด หากสามารถรวบรวมเสียงของพรรคเล็กพรรคขนาดกลางๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา และน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการจัดตั้งพรรคทหาร ผมคิดว่าอย่างนั้น
: ถ้า คสช. กระโดดมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่ยังมีกองทัพหนุน-ดาบพิเศษจะเหมาะสมหรือไม่
ถ้าเข้ามาเป็นนักการเมืองแล้ว ข้าราชการคือผู้ใต้บังคับบัญชาของนักการเมือง ถ้ายังมีอำนาจไปคุมกองทัพ มันไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว และจากนั้นไปก็จะวุ่นวาย พรรคฝ่ายค้านจะเริ่มไม่เห็นด้วย สามารถปลุกระดมคน พลันจะเกิดแต่ความรุนแรงและความขัดแย้งทวีขึ้นไป ผมคิดว่าไม่น่าจะมีทางเป็นเช่นนั้นได้
ฉะนั้น หาก คสช. เปลี่ยนโหมดเข้ามาสู่ความเป็นรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง “เขาจะต้องตั้งสติใหม่” ว่าตอนนี้เขาจะต้องเข้ามาบริหารประเทศตามระบบ ให้ผู้คนมีความรักความสามัคคี มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำ ไม่ใช่ว่าพอเป็นรัฐบาลแล้วยังปล่อยให้เกิดความขัดแย้ง
: มาถึงวันนี้ “ผลของการปฏิรูป” ยังมองเห็นไม่ชัดนัก?
ผมเองเป็นคนนอก แต่ก็มองว่า ประการแรก ปัญหาความขัดแย้งยังไม่ได้รับการแก้ไข มันยังคงอยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน Road Map ของรัฐบาลที่ยังไม่ได้ทำให้สำเร็จ ประการที่สอง ที่ยังไม่แก้ไข ที่เห็นชัดเจนคือเรื่องการคอร์รัปชั่น ประการที่สาม คือความยุติธรรม 3 เรื่องนี้เป็นองค์ประกอบในการนำไปสู่การสร้างสังคม แต่ปัญหาต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ยกตัวอย่างเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ คสช. ต้องขจัดให้ได้ทุกเม็ด นั่นคือปัญหาคอร์รัปชั่น ว่าจะทำอย่างไรให้ ส.ส. ที่พอเข้ามาในสภาแล้ว ไม่สามารถไปแสวงหาผลประโยชน์ได้
ถ้าทำได้จริง เราจะมีนักการเมืองที่ดีที่เสียสละมีอุดมการณ์ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองแล้วก็แก้เรื่องอื่นๆ ได้
: คิดว่า 2561 มีเลือกตั้งหรือไม่?
ผมมองย้อนกลับไป คสช. คงเหนื่อย-ลำบากมากๆ จนมาถึงวันนี้ ผมคิดว่าเขาพยายามที่อยากจะให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด (มองแบบเผินๆ) วันนี้ผมคิดว่านายกฯ คงเหนื่อย เห็นหน้าท่านในทีวีหรือเจอตัวจริง ผมเชื่อว่าท่านไม่ได้มีความสุขแบบผม น้องๆ หลายคนที่อยู่ในสภาคงไม่ได้มีความสุข หลายคนที่ได้มีโอกาสคุยกันทางโทรศัพท์ บอกผมว่าวันนี้พอถอดหัวโขนแล้วมีความสุข ผมจึงเชื่อว่าวันนี้ คสช. ต้องการเช่นนั้นและอยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด
: ลงหลังเสือ-ถอดหัวโขนอย่างไรให้เป็นสุข?
ถ้าลงหลังเสือลงแล้วประชาชนเห็นดีเห็นงามด้วย ผมว่ายังไงก็สบาย แต่ถ้าลงแล้วยังมีอะไรที่ติดใจประชาชนอยู่ จะเหนื่อย เมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วไม่ควรมีชนักติดหลัง ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ เพราะว่าแต่ละคนที่อยู่ในอำนาจ ล้วนอายุ 60 กว่าด้วยกันทั้งนั้น ถ้าถามว่าถ้าจากนี้ไปไม่มีความสุข แล้วจะไปมีความสุขในช่วงไหนของชีวิต รับราชการมากันคนละ 40 กว่าปีก็เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว แล้วยังมารับภาระอีก เกษียณไปก็ยังไม่มีความสุข ผมว่า คงจะลำบากถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
: มีอะไรถ้าบอกกับ “น้องๆ” ได้อยากพูดอะไร?
ผมอยากให้เร่งเรื่องของการปฏิบัติตามโรดแม็ปที่วางไว้ให้สำเร็จโดยเฉพาะ 3 เรื่องที่พูดไป ความรักสามัคคีของคนในชาติ ถ้าไม่แก้วันนี้ผมมองไม่เห็นว่าอนาคตเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วมันจะแก้ได้ / เรื่องการคอร์รัปชั่น ถ้าไม่ทำยุคนี้ มันจะย้อนกลับไปมีผลต่อเรื่องเศรษฐกิจและสังคม สิ่งสุดท้ายคือ ความยุติธรรม เป็นเรื่องใหญ่มากอีกอันหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ ฉะนั้น ทุกปัญหาถ้าไม่แก้ไขวันนี้ สิ่งเหล่านี้จะกลับย้อนมาสู่ คสช. เองในวันข้างหน้า
ส่วนระบบต่างๆ ที่วางไว้จากแม่น้ำห้าสายก็ดี หรือกรอบกติกาต่างๆ ต้องเข้าใจว่า “นักการเมืองก็คือนักการเมือง” จำไว้เลยว่าสิ่งที่ คสช. วางเอาไว้เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อวันหนึ่งไปเจออิทธิฤทธิ์ของนักการเมือง คุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณคิดไว้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
: รัฐประหารจะยังคงอยู่คู่สังคมไทยหรือไม่?
ปัญหาของการรัฐประหารเราต้องจำประเด็นไว้ มีหลายบทเรียนจากทั้งโลก การรัฐประหารจะทำไม่ได้และเด็ดขาด 100% ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วย ถามว่าคราวที่แล้วประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับ กปปส.? จึงมีส่วนสนับสนุนให้การทำงานของ คสช. สามารถดำเนินไปได้
อีกประการหนึ่งคือขึ้นอยู่กับ “นักการเมือง” ถ้ายังมีพฤติกรรมอะไรแปลกๆ วันหนึ่งประชาชนอาจจะร่วมมือกับทหารอีกก็เป็นได้