ความเคลื่อนไหวศึกเลือกตั้งใหญ่ 2566 | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

“สภาผู้แทนราษฎร” สภาประชาชนมาจากการเลือกตั้งของประชาชนพลเมือง จากบุคคลทุกสาขาชีพ ชุดปัจจุบันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 จะครบเทอม 4 ปี ในไม่กี่วัน เซียนการเมืองทุกสำนักฟันธงตรงกันว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี จะลากยาวจนหลังชนกำแพง จึงลงมือ “ยุบ” ก่อนกำหนดไม่กี่น้ำ ระหว่างวันที่ 20-22 มีนาคม

ไทม์ไลน์ของศึกเลือกตั้งใหญ่ คาดว่าจะระเบิดเถิดเทิงขึ้นไม่ในวันที่ 7 พฤษภาคม หรือวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

ความเคลื่อนไหวศึกเลือกตั้งใหญ่ 2566 ล่าสุด “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” ประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ มีเพิ่ม-ลดสัดส่วน หลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่ให้นับรวม “ผู้ไม่ใช่สัญชาติไทย”

ผลมาจาก “กกต.” เกิดอาการลังเลเกี่ยวกับจำนวนประชากร จึงยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหา การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่แต่ละจังหวัด “พึงมี” ที่กำหนดให้จำนวนประชากรทั่วประเทศ ตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์ที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งนั้น คำว่า “ราษฎร” ไม่หมายความรวมถึงผู้ไม่ได้สัญชาติไทย

“กกต.” จึงกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่ง ตัดตัวเลข “คนต่างด้าว” ทิ้ง แยกย่อยซอยยิก ทำการแบ่งเขตเลือกตั้งกันใหม่ คำนวณจากฐานราษฎรสัญชาติไทยทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

มีจำนวน 65,106,481 คน จำนวนราษฎรโดยเฉลี่ย 162,766 คนต่อ ส.ส. 1 คน จากของเดิมที่คำนวณไว้ 165,226 คนต่อ ส.ส. 1 คน ทั้งนี้ ส่งผลให้จำนวน ส.ส.และเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดที่ชงไปก่อนหน้านี้ ต้องขยับใหม่ในบางส่วน

8 จังหวัดต้องเปลี่ยนแปลงจากเดิม โดยมี 4 จังหวัดที่จำนวน ส.ส.ลดลง ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย เดิมมี 8 คน เหลือ 7 คน จ.เชียงใหม่ 11 คน เหลือ 10 คน จังหวัดตาก 4 คน เหลือ 3 คน สมุทรสาคร เดิม 4 คน เหลือ 3 คน

จังหวัดที่ตีนบวม ได้ที่นั่ง ส.ส.เพิ่ม ประกอบด้วย จังหวัดอุดรธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมมี 9 คน เป็น 10 คน ลพบุรี ปัตตานี เดิมมี 4 คน ก็ได้เพิ่มเป็น 5 คน

สรุปภาพรวม รายภาค “ภาคเหนือ” ของเก่า 39 คน ลดเหลือ 36 คน “ภาคอีสาน” เดิมมี 132 คน เพิ่มเป็น 133 คน ภาคใต้ เดิมได้ 58 คน เพิ่มเป็น 60 คน ขณะที่ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคตะวันตก และกรุงเทพมหานคร เท่าเดิม 29-20-33 คน

หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ทั้ง “ผู้ชนะ” ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส. “ผู้แพ้” กลายเป็น “ส.ต.” ต่างพากันหายหน้าจ้อย ลงพื้นที่กันน้อยมาก แถมบางรายอีโก้จัด เจอลูกบ้านตัวเอง ทำหน้าเหมือนเห็นผี หรือเหม็นขี้ แต่ตอนนี้ใกล้เข้าโหมดเลือกตั้ง สถานการณ์พลิกกลับ “เจอผีไหว้ผี เห็นขี้ไหว้ขี้” เป็นอย่างนี้แหละพี่น้องเอ๋ย ยามกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

 

ผลดีของการเลือกตั้ง สนุกดีก็ช่วงนี้แหละ ตอนนี้ปี่กลองแค่เริ่มเฉิดฉิ่ง อยู่ในช่วงโหมโรง พวกที่อยู่ในศูนย์อำนาจ เปิดฉากทิ้งทวนโครงการ นโยบายประชานิยมกันตูมๆ ลดแลกแจกแถมเมกะโปรเจ็กต์กันสนุกสนาน ทุ่มทุนสร้างเพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการแสวงหาความนิยมจากพี่น้องประชาชน

นอกจากนั้นแล้ว ตอนนี้ ตามไฟต์บังคับ สิ่งปกติของการเมืองไทย ดัดสันดานพวกรักสบาย ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ นั่งชี้นิ้ว สั่งการอยู่บนหอคอยงาช้างไม่ได้แล้ว ต้องออกพื้นที่เหยียบขี้ไก่ เพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศเปิดตัวลงสมัครปุ๊บ ก็โดนปั๊บเลยเช่นเดียวกันคือ “ค่าใช้จ่าย”

มีการคำนวณเม็ดเงิน ค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น ของ “ทั่นผู้นำ” ที่ไปเปิดเวทีหาเสียงตามหัวเมือง ซึ่งบางคนลากิจ พรรคต้องใช้งบประมาณเอง “บางคน” เบียดบังเวลาราชการ เงินหลวงแฝงไปในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ จัดตั้งเวทีพบพี่น้องประชาชน

เช็กค่าใช้จ่ายตัวเลขกลมๆ แล้ว ประมาณการเวทีละ 5 ล้านบาท ไม่รวมคณะเดินทาง-ค่าที่พรรคของทีมงาน ใช้เฉพาะภาคสนาม ต่อมวลชนที่ผสมปนเปมาในรูปของหน้าม้า 1 หมื่นคน ว่ากันว่า จะได้รับผลตอบแทนด้วย “ถั่วแดง” 2 กำปั้น “ถั่วเขียว” ก็ต้องหลายใบ รวมกับค่ายานพาหนะ-ผู้ควบคุมมวลชน

ล่าสุดมีข่าวว่า ตอนนี้หัวเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด “แบงก์ร้อยบาท” หรือ “ถั่วแดง” ขาดตลาด ธนาคารไม่มีให้แลก

ชาวบ้านตาสีตาสา ยายมียายมา ฤดูนี้บริโภคถั่วแดง ถั่วเขียวกันท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ขณะที่ “มนุษย์เลือกตั้ง” ระฆังยกแรกดังขึ้นแล้วเหมือนกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

เข้าแถวตบเท้า “รับกล้วย” กันอิ่มหนำ สำราญใจ ลดหย่อน หยวนๆ กันตามฐานะ 3 พรรค ระดับตู้นิรภัยแน่นหนา ที่มีข่าวว่า ให้หัวละ 40-50 บาท เปิดคอร์สได้กิ๊บเก๋ ผู้สมัคร “ทรงเอ” ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแน่นอน รับประกันชัวร์ป้าบๆ เอาไปคนละ 5 กิโล “ทรงบี” 3 กิโล

อีกสี่ซ้าห้าพรรค ได้กล้วยเป็นขวัญถุง ค่ายละ 1 กิโล “บางพรรค” มีข่าวว่าจะให้ 3 แต่มีปัญหาขัดข้องทางเทคนิค เอาไปก่อน 1 กิโล

มี “บางพรรค” เสียท่า หัวหน้าพรรคโกรธจี๊ด ยิ่งกว่าซดวาซาบิสด ผู้สมัครระดับ “ทรงเอ” รับไปแล้ว 5 กิโล แต่มากลับลำย้ายสังกัดกลางอากาศ ควันออกหู เพราะสวมบท “โพธิ์เงิน” จอมคนในตำนานกินของฟรี แล้ว “ชักดาบ”

พูดถึงเทคนิค แท็กติก ยอดคนในตำนานทางการเมือง ที่หยั่งรู้สถานการณ์ คาดเดาได้ถูกตรง แม่นยำ ชั้นประเสริฐ ขั้นเทพ ผมว่าไม่มีใครเหนือ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย

“คุณบรรหาร” ดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2538 อยู่ในตำแหน่ง 1 ปี 4 เดือน และชิงยุบสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539

ช่วงหาเสียงเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2539 “คุณบรรหาร” ซึ่งสนิทสนมกับเจ้านายผม แวะมากินข้าวหลังเดินทางกลับจากการออกช่วยลูกพรรคหาเสียงทางภาคเหนือ ที่ “มติชน”

แกสายหัวเดี๊ยะ สารภาพว่า พรรคชาติไทยมีโอกาสพ่ายแพ้เลือกตั้งสูงมาก เพราะผู้สมัครที่เป็นตัวเต็ง จะไม่ได้รับเลือกตั้งหลายคน พอถามว่าที่ไหน ใครบ้าง “คุณบรรหาร” ระบุชื่อมาให้ดูชม จำนวน 10 ราย แต่บอกว่า ห้ามลงข่าว

หลังเลือกตั้ง ปรากฏว่า แม่นดุจจับวาง ตรงเป๊ะ ตามที่ผมจดชื่อไว้ทั้งหมด ครั้นมีโอกาสเจอ “ทั่นบรรหาร” อีกครั้งที่ร้านต้นโพธิ์ เลยข้องใจ ถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าลูกพรรคทั้ง 10 รายจะสอบตก

“ทั่นบรรหาร” หัวเราะหึๆ แล้วไขปริศนาให้หูตาสว่างว่า “ไม่มีเคล็บลับอะไรมาก พรรคช่วยเหลือให้เงินไปหาเสียง ผู้สมัครดอดไปพบคู่แข่ง ขอตีหมอบรับเงินจากคู่แข่งมาอีกทอด แล้วไปแอบเล่นพนัน ถือฝ่ายตรงข้ามไว้อีกชุด”

“ผม” ตั้งตัวเลขสมมุติไว้ในใจ พรรคช่วยไป 10 กิโล+ “คู่แข่ง” ไม่ต้องใช้เงินหาเสียง ได้เป็น ส.ส.แบบไม่ออกแรง รับอีก 10 กิโล+ค่าน้ำ ที่ไปพนันฝ่ายตรงข้ามไว้ชนะ อีก 10 กิโล กิน 3 หูเข้าฮอส

ถึงจะแพ้เลือกตั้งแต่กินหรู อยู่เฟ่ทั้งชาติ ใช้ไม่หมด ผมถึงบางอ้อ ยันบางคอแหลม ไปออกบางปลาม้า

ศึกเลือกตั้งงวดนี้ พรรคสี่ซ้าห้าสิบล้าน อาจจะมีหลายราย โดนเหลี่ยมเดียวกันนี้ เลยนำมาเป็นวิทยาทาน