“ฮุน เซน” มรสุมรุมหลายด้าน “แบม-ตะวัน” ถึง “ปฏิวัติสี” กำลังทำให้คลั่ง

อภิญญา ตะวันออก

แต่ไหนแต่ไร ไม่เคยตกที่นั่งลำบาก

แต่ทุกวันนี้ ราหูเป็นบาปพระเคราะห์ สมเด็จเตโชฮุน เซน (สื่อเขมรเรียกเตโชเสน) ต้องมีเหตุปมกะเดา แทบจะทุกวัน

ตั้งแต่คนในครอบครัวไปยันปัญหาประเทศ

ทุกวันนี้ เตโชเสนแค่ยืนติดโพเดียมเป็นต้องพูดเสียงอ่อยๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเขาที่ออกแนวขู่กรรโชก ต่อให้เป็นเรื่องครอบครัวก็เถอะ

ไม่กี่อาทิตย์ก่อน เตโชเสนยังขู่หลานนายพลตำรวจฮุน เจีย ใหญ่ให้เลิกกับเมียน้อย มิฉะนั้นเขาจะปลดจากตำแหน่ง เป็นที่รู้กัน สมเด็จฮุน เซน ไม่เคยชอบพฤติกรรมนอกใจ

ล่าสุด ฮุน มานิต-ฮุน มาลี สองศรีพี่น้องลูกรักซึ่งทำตัวเป็นนักสะสมสัตว์ป่าอนุรักษ์สัตว์ป่าสงวนโดยเฉพาะนกยูง

ดังเป็นที่รู้กัน ฮุน มานิต นิยมตั้งแคมป์ในป่าดิบ หลายๆ ครั้งดูจะมีการไล่ล่าสัตว์ด้วย หลังๆ มานี้ รสนิยมส่วนตัวของเขาแบบนี้ดูจะทำให้สามีฮุน มาลี ตื่นเต้นไปด้วย

สมเด็จฮุน เซน ก็เหมือนชาวเขมรส่วนใหญ่ ที่ไม่ให้ความสำคัญกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ด้วยเหตุนั้น ฮุนบิดาจึงบ่นๆ กึ่งเอ็นดูลูกๆ ที่ไปเอานกยูงมาเลี้ยงดู แต่ไม่พูดเรื่องทำผิดกฎหมาย

ไม่เท่านั้น บุตรเขยคนสุดท้องของฮุน เซน อดีตลูกนักการเมือง-สก พุตธีวุต ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจดัง แต่กลับมีรสนิยมบริโภคสัตว์ป่าหายากและตั้งแคมป์ส่องสัตว์ป่าซึ่งเป็นพฤติกรรมแบบชนยุคกลางแบบเดียวกับพี่เมีย-ฮุน มานิต ที่ตกเป็นข่าวขุดคุ้ยว่าอยู่เบื้องหลังฮุบป่าของชุมชนของจังหวัดกันดาลเพื่อทำสวนสัตว์ท่องเที่ยว

โดยมีนอมินีหนุ่มออกญาซึ่งถือครองธุรกิจสีเทาจากกาสิโนเพื่อฟอกเงินอยู่เบื้องหลัง จนถูกชาวบ้านออกมาคัดค้าน

ระหว่างที่แคมเปญเลือกตั้งทั่วไปกำลังเดินหน้า ฮุน เซน จึงตัดสินใจยุติปัญหาโครงการดังกล่าว และนี่คือเรื่องฉาวโฉ่ในหมู่ครอบครัวตระกูลฮุนที่เริ่มจะปิดบังไม่มิดมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่ฮุน มาแนต ผู้ได้ชื่อว่า “ไร้มลทินมัวหมอง” กว่าพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่พ้น

ฮุน มาแนต หลายปีก่อน เคยถูกขุดคุ้ยสัมพันธ์ลับกับอดีตแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เคยทำงานให้กองทัพและต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐสภา ด้านอำนวยการสมาชิกพรรคระดับสูง

เธอมักโพสต์รูปกับนายพลมาแนตที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนม แต่จู่ๆ ก็กลับมีข่าวความสัมพันธ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง ซึ่งพบว่าต่อมาเธอทำอัตวินิบาตกรรมอย่างน่าสงสัยในหลักฐานผูกคอตายนั่น

ทุกวันนี้ มีใครบ้างที่ข้อสงสัยว่าทำไมฮุน เซน จึงหลงๆ ลืมๆ นับหลานๆ ตระกูลฮุนเกินจำนวนตลอดเวลา? เอ หรือสมเด็จนั้น ยังมีหลานๆ นอกสมรสที่ปิดบังอีกบางคน?

 

เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครรู้ลึกไปกว่าคนในครอบครัวตระกูลฮุน

อนึ่ง นอกจากสาแหรกที่ใหญ่โตมโหฬารแล้ว ในพิธีแห่งความตายของสมาชิกตระกูลฮุนก็ยังแตกต่างไปจากประเพณีศพของกัมพูชาทั่วไป

คิดดูเถอะ อย่างต่อเนื่อง ภายในเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน ได้ทำพิธีบรรจุโลงศพของพี่ชายฝังไว้ในฐานเจดีย์องค์ใหญ่แห่งวัดประจำตระกูลเมืองกำปงจาม

เช่นเดียวกับสมเด็จบุน รานีฮุนเซน ทำพิธีศพของบุน สุทา น้องสาว เป็นพิธีศพแบบใหม่ที่ต่างไปจากอดีตในการบรรจุแต่อัฐิธาตุในเจดีย์เท่านั้น

ตระกูลฮุนยังออกแบบอีกหลายอย่างในธรรมเนียมพิธีศพของครอบครัวอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน แม้แต่ในหมู่เจ้านายราชสำนักก็ไม่เคยมี

สมเด็จฮุน เซน แม้จะไม่ชอบไอเดียที่ว่านี้เท่าใดนัก แต่ก็นับว่าเป็นผู้ริเริ่มพิธีบรรจุศพในเจดีย์ถึง 2 ครา ขณะที่บุน รานี ก็บัญชาสร้างเจดีย์รอการบรรจุร่างของสามีและตนเองในอนาคตไว้ล่วงหน้า!

สมเด็จฮุน เซน ยังเป็นเจ้าของไอเดียอื่นๆ ที่บุกเบิกนำร่องอำนาจอ่อนมาร่วม 20 ปี

ที่ประสบความสำเร็จก็เช่นกุนแขมร์ ที่ฮุน มานา ลูกสาวดูแลในนามทีวีบายนจนประสบความสำเร็จอยู่ในกระแสความรู้สึกของประชาชน

ส่วนฮุน มานี ลูกชายอีกคน ก็ดูแลโปรเจ็กต์สงกรานต์เขมรที่กลายเป็นอัตลักษณ์วัฒนธรรมปัจจุบันของปีใหม่เขมรหรือ “โจลฉนำ-สงกรานต์” โดยเฉพาะในภาคตะวันตกของประเทศ

ทั้ง 2 อย่างได้กลายเป็นมูลค่ารายได้ให้แก่องค์กรบริษัทตระกูลฮุนมานานในภาคส่งเสริมกีฬาและการท่องเที่ยว

ดูเหมือนสมเด็จฮุน เซน จะอาศัยอำนาจอ่อนราวกับนี่คือยุทธการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่า ความนิยมในหมู่ประชาชนและคนรุ่นใหม่ๆ

ขณะเดียวกันผลผลิตเหล่านั้นก็สร้างความมั่งคั่งตระกูลฮุนไปพร้อมกัน

แต่ใครเลยจะนึกว่า อำนาจอ่อนที่บ่มเพาะระบอบฮุนเซนมาอย่างแข็งแกร่งในวันนั้น มาถึงวันนี้ เจ้าของฉายา “strongman” แคมโบเดียสมเด็จฮุน เซน จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนยืนอยู่บนปากเหว

 

ฤๅความหอมหวานในอดีตจะสิ้นสุดลงแล้ว? ต่อการเล่นแร่แปรธาตุทำมาหากินทางนโยบายการเมืองยาวนานถึง 2 ทศวรรษกาลกำลังจะเปลี่ยนไป

เมื่อ “เมกาดีล” หลายโครงการได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่

โดยเฉพาะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนหันไปลงทุนด้านความมั่นคงด้วยเม็ดเงินเกือบทั้งหมดที่ฐานทัพเรือเรียม/กำโปดเป็นอันดับแรก แลเลือนรางว่า ปักกิ่งจะไม่ผลักดันตลาดการค้าเสรีที่กัมพูชาหรือภูมิภาคนี้ต่อไป เว้นแต่จะมีความจำเป็นซึ่งฮุน เซน เองก็รู้ดี

ดังนี้ การปิดสื่ออิสระอย่าง “วีโอดี” (เสียงประชาธิปไตย) และการตัดสินจำคุก 27 ปีในคดีการเมืองนายกึม สกขา อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจึงคือคำตอบ

และเผยให้เห็นว่า ฮุน เซน รู้ดีว่า ระบบอำนาจที่ขึ้นกับตนผู้เดียวนั้นอาจเป็นจุดอ่อน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็จำต้องเดินหน้า โดยจะเห็นว่า เมื่อนอมินีภาคเอกชนจำนวนมากที่ประสบชะตากรรมทางธุรกิจหลังจากท่อน้ำเลี้ยงทุนจีนเหือดแห้งลง ทั้งหมดล้วนแต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมหภาคตระกูลฮุนโดยทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงของการกระโจนเข้ามาเป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งอาเซียนครั้งนี้ คือการที่ระบอบฮุนเซนเคยชินแต่การเป็นผู้รับบริจาคและขาดประสบการณ์ “ใจถึง” ลงทุนด้วยตัวเอง

ไม่เท่านั้น การเป็นเจ้าภาพมหกรรมซีเกมส์ครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนการชุบชูบูชาลัทธิชาติ ชูชาตินิยมสุดโต่ง บนเส้นทางลัดสายนั้นที่ช่างเรียบง่ายในการมอมเมาประชาชน

แต่แล้ว พลัน คลื่นวัฒนธรรมใหม่ดังที่เขาเคยเรียกมันว่า “ปฏิวัติสี” หรือ “พลเมืองอภิวัฒน์” ที่สมเด็จฮุน เซน หวาดกลัวมาตลอด สำหรับความหวาดระแวงต่อการเคลื่อนไหวในหมู่ยุวชนรุ่นใหม่ที่อยู่ในกระแสเสรีนิยมสังคมไทยได้ปรากฏขึ้นที่พนมเปญ

มันได้พิสูจน์คาตาว่า การอดอาหารประท้วงของเด็กสาว 2 คนที่กรุงเทพฯ ที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้องใดๆ กับหนุ่มสาวเขมรกลุ่มใด แต่มันกลับสั่นสะเทือนไปถึง

เมื่อเธอเขายุวชนรุ่นใหม่พากันไปนั่งสมาธิ (แทนยืนหยุดขัง) ที่หน้าสถานทูตไทยกรุงพนมเปญ เพื่อแสดงออกในวันสตรีสากล (8 มีนาคม)

ยกย่องบทบาทการต่อสู้ของ “แบม-ตะวัน” เด็กสาวไทย 2 คนที่อดอาหารยาวนานมากว่าครึ่งร้อยวัน

การปักหมุดการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ “ปฏิวัติสี” ที่เขมรนี้ กำลังทำให้สมเด็จฮุน เซน คลั่งเสียยิ่งกว่าวิวาทะกุนแขมร์ซะอีก

เพราะมันคือ ซอฟต์เพาเวอร์ที่สุดจะร้ายกาจ และหากแฝงเข้าไปอยู่ในธาตุทางความคิดชาวเขมรรุ่นใหม่แล้ว มีแต่จะส่งผลสั่นสะเทือนต่อระบอบฮุน เซน ได้

และเขาไม่อยากจะเห็นมัน!

เพื่อปิดจุดอ่อนที่ว่า การหยุดยุติประเด็นซอฟต์เพาเวอร์ใดๆ กับไทยน่าจะสกัดไม่ให้ผลไม้พิษทางความคิดด้านการแสดงออกของเยาวชนไทยที่นับวันมีแต่จะส่งกระแสพลเมืองโต้กลับ ขยายตัวที่พนมเปญ

โดยเฉพาะทักษะอันร้ายกาจของ “ปฏิวัติสี” ในหมู่พลเมืองไทยที่ใช้ตอบโต้ “รัฐอำนาจ” ในทุกรูปแบบกระบวนท่าศิลปะการต่อสู้ทุกชั้นเชิงใดๆ ควรจะยุติลง

และถอยไป-กุนแขมร์!