เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ – พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวจริงหรือ ?

บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ (14) พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวจริงหรือ

คนที่ชอบกล่าวหา มักจะยกเรื่องพระพุทธองค์มากล่าวหาแปลกๆ บางเรื่องแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนสมัยนี้จะคิดไปได้ เช่น กล่าวหาว่าเจ้าชายสิทธัตถะทิ้งลูกเมียไปบวช เป็นคนเห็นแก่ตัว เออ สมัยนี้นี่แปลก มนุษย์ปุถุชนคนเห็นแก่ตัว กลับไปกล่าวหาว่าท่านผู้เสียสละใหญ่หลวงเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเสียนี่

คงทำนองเดียวกับผายลมออกมาเองแล้วกล่าวหาคนอื่นปล่อยลมพิษกระมังครับ

ไม่เฉพาะเจ้าชายสิทธัตถะ บางรายย้อนไปถึงพระเวสสันดรโน่นแน่ะ ว่าคนอย่างพระเวสสันดรนี้คบไม่ได้ คนที่ให้ลูกเมียเป็นทาน เป็นคนไม่เอาไหน ไม่ควรนำมาเรียนมาสอนกัน สอนให้คนเห็นแก่ตัวเปล่าๆ

คำพูดอย่างนี้ออกจากปากคนที่เรียกตัวเองว่า ปัญญาชน หรือ นักวิชาการ เป็นการ จ้วงจาบ อย่างร้ายแรง ผมรอว่าเมื่อไรหนอ พระเถรานุเถระ หรือผู้เชี่ยวชาญการพระพุทธศาสนาจะชี้แจงให้คนเขาหายกังขากันเสียที รอมานานนมกาเลแล้ว ไม่เห็นใครชี้แจงเลย หรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่รู้

เมื่อไม่มีปลาฉลาม ปลาวาฬ ปลาซิวปลาสร้อยอย่างผม ขอเสนอความคิดเห็นบ้าง ฟังได้ก็กรุณารับฟัง ฟังไม่ได้ก็เลยไปเสียไม่ต้องสนใจ

ก่อนอื่นผมใคร่ขอให้ย้อนรำลึกสักนิดว่า

1. เราอย่าเอาความรู้สึกของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสอย่างเราๆ ไปตัดสินการกระทำของพระเวสสันดร

2. เราอย่าลืมว่าเหตุการณ์ในคัมภีร์มิได้เกิดขึ้นในยุคสังคมบริโภค ผู้คน คลั่งวัตถุ กันเป็นบ้าเป็นหลัง บริบท ทางสังคมย่อมแตกต่างจากปัจจุบันนี้มาก

3. เราอย่าลืมว่า การกระทำทั้งหมดเป็นการกระทำของ พระโพธิสัตว์ ผู้มีจุดมุ่งหมายแตกต่างไปจากปุถุชนทั่วไป

พระเวสสันดรท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งปณิธานเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าถามว่า ตรัสรู้ไปทำไม ตอบว่า เพื่อจะได้ช่วยสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์อยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ในสังสารวัฏหลุดพ้นจากความทุกข์

พูดให้สั้นคือ เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นที่สุดยอดแห่งความทุกข์

จากจุดนี้เป็นจุดแรก จะเห็นว่าพระเวสสันดรโพธิสัตว์มิได้เห็นแก่ตัว ตรงข้ามกลับเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นอย่างยิ่ง

เพราะท่านต้องการช่วยเหลือคนทั้งโลกให้พ้นทุกข์

และการช่วยจะได้สำเร็จ ก็ต้องได้บรรลุโพธิญาณคือเป็นพระพุทธเจ้าก่อน การบำเพ็ญบารมีเป็นขั้นตอนของการเตรียมพร้อมเพื่อบรรลุทานอันอุกฤษฏ์ เป็นหนึ่งในธรรมที่ต้องบำเพ็ญเพื่อให้ได้โพธิญาณนั้น

ถ้าไม่บริจาคลูกเมีย บารมีก็ไม่สมบูรณ์ ไม่มีทางเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงบริจาคลูกเมียเป็นทาน

เมื่อบริจาคลูกเมียเป็นทานแล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระโพธิสัตว์ก็สามารถช่วยเหลือได้ไม่เฉพาะลูกเมียของท่าน หากได้ช่วยเหลือคนทั้งโลก

การกระทำอย่างนี้แทนที่จะเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ตน กลับเป็นการเห็นแก่โลกทั้งโลก เพราะหลังจากนั้น พระเวสสันดรได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศสัจธรรม ช่วยปลดเปลื้องสัตว์โลกจากทุกข์มากต่อมาก และได้ฝากคำสั่งสอนเป็นประทีปส่องนำทางชีวิตของชาวโลกทั้งปวงมาตราบเท่าทุกวันนี้

ถ้าพระเวสสันดรไม่บริจาคลูกเมียในวันนั้น พระเวสสันดรก็ช่วยได้เฉพาะลูกเมียของท่าน เมื่อกลับมาครองเมืองสีพีแล้ว ก็ช่วยได้เฉพาะชาวเมืองสีพี สิ้นพระชนม์แล้วก็จมหายไปตามกาลเวลา

ถ้าอย่างนี้จะเรียกว่า พระเวสสันดรเห็นแก่ตน เห็นแก่ลูกเมียของตน และเห็นแก่บ้านเมืองของตน ก็สมควรอยู่

แต่มิได้เป็นเช่นนั้นเลย แล้วจะมากล่าวหาว่าท่านเห็นแก่ตนได้อย่างไร

อนึ่ง ทุกขั้นตอนของการกระทำ พระโพธิสัตว์ทำไปด้วยปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ และเปี่ยมด้วยความรักต่อลูกเมียทั้งสิ้น

1. ทรงชี้แจงให้ลูกทั้งสองเข้าใจว่า การกระทำของพ่อมิใช่ไม่รักลูก หากทำด้วยความรักลูกสุดชีวิต เพราะมุ่งหวังโพธิญาณ ต้องการช่วยโลกทั้งมวล จึงต้องบริจาคลูกให้เป็นทาน และท้ายสุดลูกทั้งสองก็เข้าใจเจตนาของพ่อ จึงยินยอมเป็นสำเภาทอง เพื่อนำส่งให้พ่อข้ามฟาก ในที่สุด การบริจาคทานของพระเวสสันดรเป็นการบริจาคที่บริสุทธิ์ ทั้ง ผู้ให้ (พ่อ) และผู้ถูกให้ (ลูกทั้งสอง) ศรัทธาจุดมุ่งหมายอันสูงสุดนั้นและยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย

2. นอกจากนี้ พระเวสสันดรได้วางแผนให้ลูกทั้งสองกลับไปหาปู่ อย่างผู้มีปัญญาเห็นการณ์ไกล ที่ท่านตั้งค่าไถ่ตัวลูกทั้งสองไว้แพงลิ่ว (ชาลีค่าตัวทองพันลิ้ม กัณหาค่าตัวร้อยลิ้ม ทาส ทาสี และของมีค่าอื่นๆ อีกอย่างละร้อย) ก็เพราะเล็งเห็นว่าคนที่มีทรัพย์มากมายจะไถ่ลูกได้ก็มีแต่พระเจ้ากรุงสีพี พระราชบิดาเท่านั้น และชูชกก็เป็นคนโลภอยากได้เงินมากๆ ก็ต้องพาสองกุมารไปกรุงสีพีแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด

3. พอให้ลูกเป็นทาน ปุบปับก็มีพราหมณ์เฒ่าท่าทางใจดีแต่งตัวภูมิฐานโผล่มาจากไหนไม่ทันสังเกต ออกปากขอพระชายาพระโพธิสัตว์ นึกในใจอยู่แล้ว คงมิใช่คนธรรมดา จึงออกปากยกชายาให้โดยไม่ลังเล ทันทีที่หลั่งน้ำบนพระหัตถ์พราหมณ์เฒ่า พราหมณ์เฒ่าก็กลับร่างเป็นพระอินทร์ กล่าวอนุโมทนาทานอันอุกฤษฏ์ครั้งนี้ และขอให้บรรลุโพธิญาณตามความมุ่งหมาย

จริงดั่งที่สังหรณ์ใจ ในที่สุดพระอินทร์ก็มาช่วยเป็น “สำเภาทอง” ส่งพระโพธิสัตว์ข้ามฟากอีกคน ดุจสองกุมารกุมารี

ทำไมคนสมัยนี้มองไม่เห็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่ ความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ที่มีต่อสัตว์โลกทั้งปวง

มองไม่เห็นว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างเป็น สำเภาทอง ช่วยหนุนนำให้พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้บรรลุถึงฝั่ง จะได้มาช่วยสรรพสัตว์ที่กำลังจมน้ำ ให้ข้ามฝั่งกันโดยปลอดภัย

หรือว่าคนสมัยนี้ ใจแคบ มองใกล้ ใฝ่ต่ำ (ดังพระเดชพระคุณพระพุทธโฆษาจารย์เคยเปรยไว้) ไปกันหมดแล้ว จึงปรากฏคำกล่าวหาเสียๆ หายๆ ดังข้างต้น