2 ป.แยกทาง ละครหรือของจริง อดีตเลขาฯ สมช. ‘พล.ท.ภราดร’ อ่านเกมการเมือง ประยุทธ์กำลังตกลิฟต์?

“เส้นทางที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินไปในตอนนี้มันมีแต่ภาพลวงตา และภาพของการไม่ให้เกียรติประชาชนที่เราเห็นในตอนนี้ที่ไม่มีใครรับได้ คงเป็นไปได้ยากที่ พล.อ.ประยุทธ์จะมีโอกาสได้อยู่ต่อ ส่วนเส้นทางของประวิตรคงจะลงได้แบบราบรื่น ต่างกับประยุทธ์ที่คงลงแบบตกลิฟต์”

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ฉายภาพการเมืองที่อาจจะได้เห็นในปีนี้

พปชร. vs รวมไทยสร้างชาติ

การประเมินนี้คิดว่าน่าจะตรงกับข้อเท็จจริงที่แต่ละฝ่ายมองเห็น คือมันมีการแข่งขันกันจริงแต่เป็นการแข่งที่มีสภาพที่เรียกว่า “จำเป็นและจำยอมที่จะต้องให้เกิดขึ้น”

ถ้าเราดูจากสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา มันยังเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอนุรักษ์ กับกลุ่มเสรีนิยมประชาธิปไตย

ฝ่ายอนุรักษ์หมายถึงฝ่ายที่ยังถืออำนาจอยู่ตอนนี้ เป็นฝ่ายที่มีกลุ่มนายทุน กลุ่มขุนศึกที่เป็นทหารการเมือง และจบด้วยกลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มเหล่านี้จะยืนอยู่ฝั่งที่ไม่อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ว่าจะในมิติไหน

อีกฝั่งหนึ่งคือฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ยึดถือว่า “อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของปวงชน” ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจ และเสรีภาพ อยู่ในมือประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เปรียบเหมือนตัวแทนของฝั่งอนุรักษ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จริง ๆ ก็เป็นตัวแทนในฝั่งเดียวกันแต่เป็นตัวแทนที่อ่อนตัวกว่า

ผลที่ออกมาของกลุ่มอนุรักษนิยมที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ชี้ออกมาให้เห็นอย่างที่หลายๆ สื่อตั้งฉายาว่า “หน้ากากผู้ดี” หรือ “นายกฯ แปดเปื้อน” มันแสดงให้เห็นว่าภาพกลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกมา มันเป็นภาพลวงที่บดบังภาพสีเทาเอาไว้ ทำให้พอมาถึงจุดหนึ่งพี่น้องประชาชนก็รับไม่ได้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทำให้เกิดการดิ้นรนของผู้ถืออำนาจ ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาได้คงสภาพอยู่เหมือนเดิม

รวมกันโอกาสชนะสูงกว่า?

พล.ท.ภราดรบอกว่า ต้องยอมรับที่ผ่านมา “ชัยชนะ” ได้มาเพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เขียนมาเพื่อพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสมาชิก หรือองค์กรอิสระ เมื่อมีการเปลี่ยนกฎกติกา เขาก็ยังเชื่อว่าจะยังผนึกกำลังกันได้ จากเดิมบัตรใบเดียวตอนนี้เป็นสองใบก็คงคิดว่ามีโอกาสชนะมากขึ้น

แต่พอลองดูจากปฏิกิริยาของคนที่ครองอำนาจมานานแล้วมันทำให้ทั้งสองไปต่อกันไม่ได้ ทำให้จริง ๆ แล้วมองว่าที่ พล.อ.ประวิตรจะไปต่อก็เพื่อหาทางลงจากเวทีการเมืองนี้แบบไม่เจ็บตัว พล.อ.ประยุทธ์เองก็คงคิดเหมือนกัน

แต่พอต่างคนต่างคิด ประกอบกับตัวแปรอื่นๆ ลูกน้องในทีมที่ก็คิดต่างกันทำให้สุดท้ายยังไงก็ต้องแยกกันเดิน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าหากจับมือกันเดินแต้มมันเยอะกว่า เพราะฉะนั้นกลับไปที่คำถามแรกว่า พรรคทั้งสองพรรคจะจับมือกัน หรือจะตัดกันเอง นี่ก็เป็นคำตอบแล้วว่าน้ำหนักมันเอียงไปทางความไม่ลงรอยกันแน่นอน

สำหรับมูลเหตุก็ไม่มีอะไรมาก พอคนเราได้อำนาจ จะมีความหลงอำนาจจนไม่อยากปล่อย แล้วถ้าถึงเวลาต้องปล่อยจริงๆ ต้องมั่นใจว่าถ้าส่งไม้ต่อไปแล้วจะต้องเป็นคนที่คุ้มครองตัวเองได้

แต่สถานการณ์ที่เห็นอยู่ตอนนี้การจะส่งไม้ต่อมันก็มีแต่ความไม่มั่นใจว่าจะมีใครมาปกป้องตัวเอง

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องดันทุรังของตัวเองต่อไป

ส่วน พล.อ.ประวิตรเองจริงๆ ก็ตั้งใจจะลงจากเวที แต่ก่อนจะลงก็ต้องหาความมั่นใจเหมือนกัน ถ้าฝั่งประยุทธ์ยังอยู่ก็ไม่เป็นไรยังเกาะไปได้ต่อ

หรือถ้าฝั่งประชาธิปไตยได้ก็ต้องแน่ใจว่าตอนที่ พล.อ.ประวิตรจะลงจากเวทีนี้จะไม่โดนเช็กบิลตามหลัง

การที่พยายามนำเสนอว่า 3ป.ยังรักกัน “มันเป็นเรื่องของการนำเสนอข่าวสารของทางฝั่งอนุรักษ์เพื่อปกปิดความไม่ลงรอยทางการเมือง” เพื่อที่จะกันไม่ให้นักการเมืองหนีไปอยู่ฝั่งอื่น เป็นเรื่องที่ทางฝั่งอนุรักษ์พยายามสื่อสารออกมาว่าการแยกกันของทั้งคู่คือกลับมารวมกันภายหลัง

แต่สิ่งที่ทำให้เชื่อว่าที่เห็นอยู่ไม่ใช่การแสดงแน่ๆ ก็เพราะจริงๆ ชัยชนะของคุณจะเกิดขึ้นได้มันต้องรวมกัน ปัจจุบันเราเห็นแต่พรรคเล็กพรรคน้อยต้องยุบวิ่งหาพรรคใหญ่ ประกอบกับการใช้บริการ ส.ว.ครั้งสุดท้ายได้ก็ยังมีโอกาสทำให้เขาได้เป็นนายกฯ อยู่

เพราะฉะนั้นการที่พวกเขาไม่มารวมกันแบบนี้ก็แสดงว่ามันไม่ลงรอยกันจริงๆ ไม่ใช่การแสดง

 

พล.อ.ประยุทธ์ กำลังขาลอย?

แน่นอนว่าลอยอยู่แล้ว พล.ท.ภราดรกล่าวย้ำ และว่า แม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติหรืออื่นๆ ที่ประยุทธ์จะไปจับอยู่ จริงๆ มันก็เป็นภาพลวงตา ภาพจริงคือนักการเมืองรุ่นเก๋าใช้ผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง “นักการเมืองเหล่านี้เขามีทางออกของตัวเอง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มี”

แต่ตอนนี้เมื่อถามว่านักการเมืองเหล่านี้อยู่ฝั่งไหน พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร เมื่อดูแล้วฝั่ง พล.อ.ประวิตรให้ความมั่นใจได้มากกว่า เพราะ พล.อ.ประวิตรขายอย่างเดียวตอนนี้ คือเลือกตั้งคราวหน้าได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

แต่ภาพลักษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ในสายตาประชาชนตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก

ส่วนเลือกตั้งครั้งหน้า ประยุทธ์มีโอกาสได้กลับมากี่เปอร์เซ็นต์นั้น พล.ท.ภราดรเห็นว่า ไม่มีโอกาสเลย เพราะภาพเส้นทางที่เขาเดินไปในตอนนี้มันมีแต่ภาพลวงตา และภาพของการไม่ให้เกียรติประชาชน ไม่มีใครรับได้ อีกอย่างเลยคือพวกบ้านใหญ่ที่ประยุทธ์ไปจับไว้อยู่ ตอนนี้ประยุทธ์ต้องพึ่งพาพวกเขา ส่วนประวิตรนั้นในใจลึกๆ ก็คงอยากเป็นนายกฯ แต่ถ้าไม่ได้เป็นก็ขอให้ได้อยู่กับรัฐบาลคือมีทางลงแบบราบรื่นเหมือนเดินลงบันได

ต่างกับประยุทธ์ที่ลงเหมือนตกลิฟต์

 

จะไม่มีอภินิหารทางการเมืองเกิดขึ้นอีก?

พล.ท.ภราดรมองว่าสถานการณ์ตอนนี้การเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ปัจจัยภายในประเทศ การจะแก้ไขวิกฤตอะไรต่างๆ มันเกี่ยวพันกับทั้งภายนอกและภายใน ฉะนั้นถ้ายังมีการสืบทอดอำนาจ ปัญหาเศรษฐกิจที่มันเลวร้ายไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ เพราะประเทศที่จะเข้ามาลงทุนมักเลือกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเป็นหลักเพราะความเสี่ยงมันน้อยกว่า ผิดกับเผด็จการ

8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ทำให้บรรยากาศประเทศตอนนี้เป็นสีเทาในทุกๆ มิติ ถ้ายังอยู่ในบรรยากาศนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศก็เตรียมตัวนับถอยหลังสู่การล่มสลาย ถึงเวลาที่ท่านต้องลงจากเวทีนี้ และต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าประเทศกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง

สิ่งสำคัญเลยคือ บทบาทกองทัพ ต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นทหารอาชีพไม่ใช่ทหารการเมือง การเลือกตั้งครั้งหน้าควรจะมีบทบาทในส่วนของการตรวจสอบความโปร่งใสให้มีการ Free and Fair ในการเลือกตั้ง พร้อมกับยอมรับผลของการเลือกตั้งที่มาจากพี่น้องประชาชน

พล.ท.ภราดรเชื่อว่าจากบทเรียน 8 ปีที่ผ่านมา ทหารจะไม่กล้าอีกแล้ว เพราะช่วงรอยต่อประชาชนโชคร้ายที่ได้คนแบบ พล.อ.ประยุทธ์มาบริหารบ้านเมือง ถ้าช่วงรอยต่อ พล.อ.ประยุทธ์ส่งไม้ต่อให้ฝั่งประชาธิปไตยพร้อมเปลี่ยนบทบาทตัวเองเป็นทหารอาชีพทุกอย่างคงราบรื่น แต่ท่านเลือกที่จะเล่นบททหารการเมืองต่อจุดจบของตัวเองก็ต้องรับวิบากกรรมไป

แต่ทหารรุ่นต่อๆ มาเห็นตัวอย่างแบบนั้นแล้วคงไม่มีใครเดินต่อแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือถ้าหากประชาธิปไตยแข็งแรงพอแล้วตัวทหารเองก็คงขยับไปไม่ได้แล้ว

พอการเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปกองทัพก็เริ่มถูกพูดถึง แต่จริงๆ แล้วมันควรต้องมากไปกว่านั้น เราควรต้องพูดถึงการปฏิรูปการจัดการงานความมั่นคงทั้งระบบ ซึ่งจะควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น เมื่อสองอย่างนี้ลงตัวกัน และประเทศแข็งแรงดีแล้ว ก็เท่ากับว่าเราสามารถยืนได้ด้วยตนเอง

หากถามว่าการยืนได้ด้วยตนเองนั้นทำอย่างไร มันก็ต้องระดมคนไทยจากทุกๆ ที่ไม่ว่าจากในหรือนอกประเทศมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองเรา

แต่สิ่งเหล่านี้จะกลับมาได้มันจำเป็นต้องมีช่องทางประชาธิปไตยก่อน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เปิดทางให้คนที่เห็นต่างกลับมาได้

“เปิดการระดมคนไทยทั่วสารทิศกลับมา ถึงเวลาที่ทุกคนต้องกลับบ้าน”

ชมคลิป