เผด็จการไม่อยู่สั้น คอร์รัปชั่นยืนยาว

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก คดีที่ “อธิบดีกรมอุทยานฯ” ถูก “ตำรวจ ป.ป.ป.” กับ “ป.ป.ช.” วางงานเข้าจับกุมความผิดซึ่งหน้า พร้อมยึดเงินสดได้เกือบ 5 ล้านบาทคาห้องทำงานนั้นยังไม่ทันจะไปถึงไหน “ส่วยเกาะเสม็ด” ก็หึ่งอีกแล้ว

ทีแรก “ดำรงค์ พิเดช” อดีตอธิบดีอุทยานฯ ได้รับการร้องทุกข์อันแสนสาหัสจากบรรดาผู้ประกอบการเรือโดยสาร รถสองแถว รถจักรยานยนต์รับจ้างว่า กรมอุทยานฯ “เก็บเพิ่มขึ้น 3 เท่า”

คนอุทยานฯ เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ระยอง ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งทันที ไม่มี้ไม่มี ทำให้หลายฝ่ายย่องลงสำรวจพื้นที่ ในที่สุดก็พบกับความจริงตรงกันว่า รับจริง จ่ายจริง ไม่เว้นแม้แต่หาบเร่แผงลอยและคนขายล็อตเตอรี่

นายยานยนต์ อรุณเวสสะเศรษฐ นายกสมาคมผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวบ้านเพ เกาะเสม็ด ยืนยัน เดิมเรือที่เคยเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท ขึ้นเป็น 2,000 บาท

เพิ่มขึ้น 3 เท่าทุกขนาดเรือโดยสาร ที่เคยจ่าย 1,500 ขึ้นเป็น 4,500 ที่เคยจ่าย 3,000 ขึ้นเป็น 9,000 ที่เคยจ่าย 4,000 ขึ้นเป็น 12,000 บาท

ยังมี “เสียง” ที่รัฐบาลอาจจะ “ไม่อยากได้ยิน” ซึ่งตีพิมพ์ในมติชนรายวัน เมื่อพุธ 18 มกราคมที่ผ่านมา

นางบรรทม เจริญผล เจ้าของร้านทอมพิซซ่า อ่าววงเดือน เปิดหน้าเล่าอย่างหมดใจว่า…

“ที่นี่มีเรื่องสกปรกเยอะ ส่วยบนเกาะเสม็ดจริงทั้งหมด ใครๆ ก็รู้ แม้แต่ก่อสร้างต่อเติมยังต้องจ่ายเงิน 10 เปอร์เซ็นต์จากงบฯ ที่ก่อสร้างทั้งหมด รับแต่เงินสด เช่น รายหนึ่ง ใช้งบฯ ก่อสร้างกว่า 5 ล้านบาท ต้องหิ้วธนบัตรหนักครึ่งกิโลกรัมไปแลกกับการก่อสร้าง เรียกรับแบบนี้ทุกราย ถึงเวลาที่ต้องตรวจสอบกันอย่างจริงจัง และล้างเกาะเสม็ดให้สะอาดเสียที ฉันอยู่มาตั้งแต่ก่อนประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯ เห็นความหมักหมมมาตลอด เกาะเสม็ดเป็นแหล่งทำเงินให้ผู้มีอำนาจ เข้ามากอบโกย เก็บทุกอย่าง ไม่สนผู้ประกอบการจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ไม่เคยสร้างความเจริญ ถนนก็เป็นงบฯ ของหน่วยงานอื่น อุทยานฯ เก็บผลประโยชน์ไปแล้ว แต่ไม่เคยสร้างความเจริญให้เกาะเสม็ดเลย”

การทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยไม่ได้มีแต่ใน “กรมอุทยานฯ”

แต่ละทีมต่างมี “วิธีดำเนินงาน”

วันก่อน ตำรวจหน่วย 191 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ “ดีเอสไอ” และเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองระดับ “ศรภ.” หรือที่เรียกว่า “17 รามอินทรา”

ฉากแรกเหมือนเป็น “พระเอก”

เข้าปฏิบัติการตรวจค้นบ้านที่อ้างว่าสถานกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทยรับรอง

จับกุมคนจีน 1 คนพร้อมเงินสดของกลาง 2.5 ล้านบาท นำส่ง สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินคดี

แต่ต่อมา “ทีมพระเอก” กลายเป็น “ผู้ร้าย” เมื่อถูกแฉเบื้องหลังว่า ในบ้านหลังนั้นมีคนจีน 11 คนกับเงินสดกว่า 10 ล้านบาท

มีการปล่อยตัวคนจีนให้หนีลอยนวล ส่งตัวแม่บ้านคนเดียวไปดำเนินคดี เจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันยักยอกเอาเงินของกลางกลับบ้าน และเรียกรับสินบนจากการปล่อยตัวคนจีน 20 ล้านบาท

ตำรวจจากหน่วย 191 นครบาล เจ้าหน้าที่ “ดีเอสไอ” และ “ศรภ.” รวม 16 คนถูกออกหมายจับ!

คดี “ตู้ห่าว” คนจีนที่ได้สัญชาติไทยก่อคดีอื้อฉาวนั้นมีผู้ต้องหาร่วมเกือบครึ่งร้อย

“ตำรวจ” เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่ “พ.ต.อ.” ระดับรองผู้บังคับการลงไปถูก “ให้ออก” เอาไว้ก่อนแล้วถึง 6 นาย กับยังมีทีท่าว่าจะลามต่อไปชวนให้ “หลอนประสาท” ผู้เกี่ยวพันอีกหลายคนในแวดวงราชการ

‘บิ๊กโจ๊ก’ จ่อแถลงจับ ผอ.ส่วน DSI-ตร.191 ตบทรัพย์คนจีน 20 ล้าน

การทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยนับเป็นเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดเพราะเกิดขึ้นทุกวันและเกิดขึ้นทุกที่เหมือน “ปรากฏการณ์” ฝนตกแดดออก

ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ ยังคงมี “ข้าราชการประจำ” ที่เชื่อฝังหัวเรื่องการใช้ “ตำแหน่งหน้าที่” แสวงหาผลประโยชน์ ถึงขั้นเชื่อว่า ไม่มีที่ไหนที่ไม่กิน

จึงใช้อำนาจหน้าที่ทำมาหากินกันไม่เว้นแม้แต่กิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน สุขภาพอนามัย ความปลอดภัย และความเป็นความตายของประชาชน

ทุจริตกันเป็นล่ำเป็นสันและเป็น “ขบวนการ” ในแทบทุกหน่วยงาน

ฉ้อฉลจนชาชินเช่นเดียวกับ “การเมือง” ที่เคยชินกับ “รัฐประหาร”

ทหารใช้กำลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรงยึดอำนาจทางการเมืองกันจนรู้สึกเป็น “ความปกติ” เหมือนกับที่ “ข้าราชการ” ก็อาศัย “ตำแหน่งหน้าที่” เรียกรับผลประโยชน์กันจนเป็น “ความปกติ”

ความจริงแล้ว “จุดแข็ง” ของความเป็นเผด็จการคือการมีอำนาจที่เด็ดขาด สามารถจัดการงานได้รวดเร็ว ประสิทธิผลทันใจ ทำให้บางคนหลงเข้าใจว่า รัฐที่มีอำนาจเด็ดขาดจะ “ปราบคอร์รัปชั่น” ได้

แต่ตรงกันข้าม เผด็จการนั้นชอบอยู่ในที่มืด ไม่ยินดีกับการที่ผู้คนสงสัย ซักถาม และตรวจสอบ

“ระบบความคิดเผด็จการ” เกื้อกูลกับการรวมศูนย์อำนาจของ “ระบบราชการ”

หน่วยงาน องค์กร ตลอดจนพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตัวเล็กๆ กับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นเปรียบไปแล้วก็เหมือน “น้ำน้อย” ที่ต้อง “แพ้ไฟ”

เมื่ออำนาจเป็นของ “นาย” ก็ไม่อาจสงสัย และตรวจสอบ!

มีน้อยครั้งและน้อยรายนัก ที่จะลุกขึ้นมาวางแผนจับกุมผู้บังคับบัญชา ดังเช่น นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร

 

ระบบการเมืองไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำของนักรัฐประหารมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นับเป็นอุปสรรคกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น

ทุกอย่างสั่งได้ มีคนเหตุปัจจัยให้บิดเบี้ยว ความจริงถูกบิดเบือน ไม่ต่างอะไรกับ “เวทีการเมือง” พอเห็นท่าว่า สู้ตามกติกาเดิมไม่ได้ก็ปูทางสร้างเงื่อนไขล้มกระดาน

มีกฎหมายก็ไม่ต้องเคารพ มีผู้พิพากษาตุลาการก็ไม่ต้องยำเกรง

ปืนเป็นใหญ่ เล่นตามกติกาเก่าแพ้ ก็ฉีก แล้วเขียนใหม่

หากเกรงจะไม่ชนะ ก็แต่งตั้งพวก 250 ให้ไปนั่งรอยกมือ

อำนาจต้องอยู่ในมือสืบไปอีกนาน!

อยากจะนั่งยาวเกิน 8 ปี อยากผูกขาดอำนาจก็แก้กติกาใหม่ ให้อยู่ยาว ไม่มีกำหนดวาระ

ระบบการเมือง ระบบความคิด ระบบกฎหมาย การบังคับใช้ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายล้วนส่งเสริม “ความคิดที่ฉ้อฉล” เกื้อกูลให้การทุจริตคอร์รัปชั่นแข็งแกร่ง มีเครือข่ายครอบคลุมยึดโยงกว้างใหญ่ไพศาลยากแก่การลิดรอนปราบปราม

ธุรกิจที่ไม่สยบจะประสบกับหายนะ สุจริตชนที่ไม่หลิ่วตาตามจะกลายเป็นหมาหัวเน่า!?!!