ทุกสายตาเฝ้ามอง “ทรัมป์” พบ “สี” ถกการค้า-ปมนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 หลังเสร็จสิ้นการเยือนเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ ในที่สุด สองผู้นำชาติมหาอำนาจระดับโลกก็ได้พบเจอกัน โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีได้เดินทางถึงจีนเช้าวันนี้ ตามกำหนดการเดินทางเยือนประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งนายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน จัดการพิธีต้อนรับนอกมหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง โดยสถานีโทรทัศน์ของทางการจีนถ่ายทอดสดเหตุการณ์สำคัญนี้ด้วย

การพบปะกันของนายทรัมป์และนายสี มีกำหนดหารืออย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดการณ์กันว่าประเด็นหลักคงหนีไม่พ้นการค้า และประเด็นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่สหรัฐฯพยายามดึงชาติในภูมิภาคร่วมมือกดดันเกาหลีเหนือ

โดยสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ทั้งสองได้พบกันครั้งแรกที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโก้ ของนายทรัมป์ที่ฟลอริดาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง และการเยือนครั้งนี้ สถานภาพของนายสี มาถึงจุดสูงสุดที่ครองอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อเป็นสมัยที่ 2 ส่วนนายทรัมป์ กำลังเผชิญกับความนิยมที่ตกต่ำลง และหลบกระแสการสืบสวนในเรื่องรัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ด้านทางการสหรัฐฯออกมาระบุว่า ผู้นำทั้งสองประเทศเห็นตรงกันในความต้องการลดแรงเสียดทานในระหว่างการเยือน และสร้างแนวทางที่ดีในการประชุมที่ฟลอริดาอีกครั้ง และนายทรัมป์ได้ส่งสารไปยังจีนให้เพิ่มแรงกดดันไปยังเกาหลีเหนือและมีความคืบหน้าอย่างที่หวังไว้ แม้จะไม่มีสัญญาณบ่งชี้จัดก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐฯระบุว่า นายทรัมป์ไม่ได้คาดหวังที่จะถกกับนายสีในประเด็นทิ่มแทงใจอย่างข้อพิพาทในทะเลจีนใต้และการปกครองตนเองของไต้หวัน ซึ่งจีนอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แม้ที่ปรึกษาของทั้งสองผู้นำอาจบรรลุงข้อตกลงในเรื่องที่เป็นส่วนตัว

ส่วนประเด็นทางการค้านั้น แม้ก่อนหน้านี้ ทั้งสองประเทศต่างตำหนินโยบายอีกฝ่ายว่าเป็นอุปสรรคต่อการค้า เช่นทรัมป์กล่าวหาจีนปฏิบัติข้อการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนจีนก็กล่าวว่าข้อห้ามในการลงทุนและส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจะต้องหยิบมาพูดคุย แต่ข้อตกลงมูลค่าราว 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯกับบริษัทของสหรัฐฯ คาดว่าจะมีประกาศในระหว่างการพบปะกัน จากคณะผู้แทนที่ประกอบไปด้วย ซีอีโอหลายบริษัทในปักกิ่ง นำโดยนายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ชุมชนธุรกิจของสหรัฐฯบางแห่งได้แสดงความกังวลว่าการบรรลุข้อตกลงจะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อร้องเรียนที่มีอย่างยาวนานต่อข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดของจีน

ขณะที่ประเด็นที่จับตามองกันอย่างนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ก่อนหน้านี้จีนได้ย้ำที่จะผลักดันข้อเสนอแนะที่ควรจะควบคุมเกาหลีเหนือให้มากขึ้น ซึ่งเกาหลีเหนือทำการค้ากับจีนถึง 90% โดยกล่าวว่าจะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นอย่างเต็มที่และทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบด้วยการลดความตึงเครียดและหันกลับมาใช้วิธีเจรจา ส่วนทรัมป์นั้นได้แสดงท่าทีต่อเกาหลีเหนือในที่ประชุมสภาของเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ ที่ร้องให้ทุกชาติกดดันด้วยการไม่ช่วยเหลือ สนับสนุนหรือยอมรับเพื่อโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือ แต่ก็ยังไม่มีการแถลงต่อสาธารณชนในเรื่องนี้ของทั้งสอง ขณะที่ทั้งคู่ชมความสวยงามในพระราชวังต้องห้าม

ในการเยือนของทรัมป์ครั้งนี้ สื่อของจีนต่างชื่นชมเสียงของร่วมมือกัน พร้อมกับรายงานว่าจีนสัญญาว่าจะเป็นประเทศน่าเยือนสำหรับทรัมป์

อย่างไรก็ตาม บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ทรงอิทธิพลอย่าง เดอะ โกลบอล ไทม์ส ระบุว่า ทรัมป์ดูเหมือนจะดำเนินนโยบายต่อจีนแบบปฏิบัตินิยม และไมไ่ด้สนใจการทูตเชิงอุดมการณ์แม้แต่น้อย ไม่เคยใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนมากวนใจจีน และนั้นหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯนี้จะเน้นแต่ประเด็นสำคัญต่อพวกเขาเอง

ส่วนเว็บไซต์บลูมเบิร์ก ได้สัมภาษณ์บรรดาผู้บริหารของบริษัทหลายแห่งในเซี่ยงไฮ้ กวางโจวและอีกหลายเมืองของจีนในสัปดาห์ที่แล้วก่อนทรัมป์เยือนจีน โดยต่างย้ำว่าเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของสองชาติมหาอำนาจ อย่างนายฮู ฮัวซี่ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท อีฮัง ผู้ผลิตโดรนระบุว่า นายทรัมป์ดูเหมือนบริหารประเทศราวกับทำธุรกิจและนั่นเป็นสิ่งที่ดี หากสหรัฐฯทำได้ดี จะเป็นการดึงให้ประเทศอื่นโตเร็วไปด้วย

แต่สำหรับนายเฟิง ซิงหยา ประธานเครือกวางโจว ออโต้โมบิล กรุ๊ป กล่าวว่า ถึงแม้บางคนจะพูดว่านายทรัมป์เป็นพวกต้านโลกาภิวัฒน์ แต่ความจริงแล้ว นายทรัมป์เป็นนักปฏิบัตินิยม คนที่มองความเป็นจริงที่เข้ามาเพื่อป้องกันผลประโยชน์ของประเทศตัวเอง ให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯขายผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้กับจีนมากกว่าผู้ผลิตจีนผลิตขายให้คนอเมริกัน ดังนั้น การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผลประโยชน์จะตกกับสหรัฐฯมากกว่า

 ที่มา :
.