อภิญญ ตะวันออก : แด่หนุ่มสาว (จบ) – “สปง-ศิลา” กว่าจะเป็นลหุภาพ

ในตัวอย่างความรักคนทั้งสอง “ซวง ซีเกือน-ลอเรนซ์ พิกก์” คือตัวอย่างแรกๆ ในปัญญาชนฝ่ายซ้าย “แขฺมร์-บารัง” ที่ฉันนำมาประเดิมเขียนไว้ในตอน “แด่หนุ่มสาว”

และระหว่างนั้น ก็หวังจะหาคำตอบจากคนทั้งสอง โดยเฉพาะ ลอเรนซ์ พิกก์ จากงานเล่มแรกของเธอ แต่ก็เหลว เนื่องจากหนังสือยังไม่เคยมาถึงมือฉัน และ “แด่หนุ่มสาว” ที่ดำเนินไปต่อมา เรื่องราวต่างๆ ในตัวละครอื่นๆ ซึ่งไม่เลย ฉันไม่เคยปฏิเสธ ไม่ว่าคนหนึ่งจะเข้ามาโดยกาลเวลาที่พาไป

โดยปล่อยให้เรื่องราวบางตอนของอดีตล่ามเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะกัมพูชาประชาธิปไตยและภรรยา ยังคงเป็นความรักแห่งอุดมการณ์ที่คนทั้ง 2 ต่างลงมือเขียนมันในต่างกาลละห้วงเวลา แลในท่ามความล่มสลายของประวัติศาสตร์สังคมนิยมฝ่ายซ้าย ที่แทบจะล่มสลาย พ่ายแพ้จนแทบจะขุดรากถอนโคน ไม่ว่าจะในแง่ปัจเจกบุคคลที่ล้มหายตายจาก หรือความหมายในเชิงขบวนการ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา

สำหรับความหมายอุดมการณ์แบบ ซวง ซีเกือน ไม่มีอะไรที่น่าอับอาย ด่างพร้อย อันตรงข้าม มันเต็มไปด้วยความจริงที่ว่า

แม้จะเจ็บปวดต่อความจริงทุกมิติ ถึงที่สุดแล้ว ก็มีสิ่งที่พิสูจน์ว่า ซวง ซีเกือน เลือกจะบูชาอุดมการณ์มากกว่าความรักอันมีต่อภรรยาและลูกทั้ง 3 คน

ตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาปกป้องคนในพรรค เมื่อพิกก์ตีพิมพ์บันทึกต่อต้านคณะกัมพูชาประชาธิปไตย และต่อมาหลังจากทุ่มเททำงานนับสิบปี ซวง ซีเกือน ก็ตัดสินใจสมรสกับหญิงชาวบ้านตามที่องค์การเห็นชอบ

 

พลัน ฉันก็นึกถึงต้นสปงที่รากของมันชอนไชไปในแต่ละซอกร่องของแผ่นหิน ที่ดูภายนอกเหมือนจะยึดโยงกันอย่างแข็งแรง

มันเปรียบเป็น (อดีต) ความรักของหนุ่มสาวคู่นั้น

คนหนึ่ง : คือความหมายมั่น แน่วแน่ ยืนยง เสียยิ่งกว่าแท่งศิลาที่เรียงซ้อนกันจนเป็นยอดปราสาทหินอันพิลาสและยิ่งใหญ่ ดังที่อดีตคนในพรรคของ ซวง ซีเกือน ปรารถนาจะสถาปนาปราสาทแห่งความเสมอภาค

คนหนึ่ง สปงที่กลมกลืนแต่ก็แปลกแยก ด้วยรากความคิดอิสระของมันที่พร้อมจะชอนไชลงไปในแต่ละซอกหลืบอันหนักอึ้งของแท่งหิน ที่ทั้งชำรุดทรุดโทรมและกำลังจะพังทลายในเวลาเดียวกัน

ทว่า ขณะที่กิ่งก้านของสปงกำลังเหยียดยืดขึ้นไปในอากาศอย่างโดดเดี่ยวนั่น กลับพิสูจน์ถึงความซื่อสัตย์ภักดีของหินทื่อที่ชื่อ ซวง ซีเกือน

ผู้ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตนเองไปเป็นอย่างอื่น นอกจากศิลาแลงแท่งหนึ่งที่เป็นเสมือนองคาพยพขององค์การ

และนั่นเท่ากับย้ำว่า ต่อให้ศิลาแลงแห่งนั้นจะกลายเป็นธุลีดิน พวกเขาก็ยินยอมที่จะให้ประวัติศาสตร์กลืนกินจนสิ้นสภาพ

ดีกว่าจะยอมจำนน

 

และชื่อของฉันนั่นเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสลักไว้บนสปงสาวนางหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นที่ปราสาทตาพรหม และเมืองเสียมเรียบขณะนั้น ยังเป็นเมืองที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวคึกมากเช่นทุกวันนี้

ซึ่งเมื่อฉันไปเยือนนั้น ก็ยังอาศัยอยู่บ้านของทหารชั้นยศเล็กๆ คนหนึ่ง เขามีชื่อว่าเชียง ตามที่โกศัลเพื่อนและล่ามแนะนำ ดูเหมือนในตอนนั้นโกศัลมีภารกิจหนึ่งที่เสียมเรียบและฉันซึ่งอยากมาเที่ยวที่นี่จึงสัญจรมาด้วย

ระหว่างที่เชียง-โกศัลไปทำงานของตน ฉันก็ตะลอนท่องทัวร์นครวัดนครทมกับสรัย น้องสาวของเชียง สาวน้อยวัย 15 ที่มักจะยิ้มตลอดเวลา ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก แม้แต่ตอนที่ต้องตามฉันไปนั่งทุ่งตอนกลางคืน

ยิ้มที่เป็นกริยาแทนคำสนทนา

ดังนั้น ในวันสุดท้าย เมื่อเชียงและโกศัลเสร็จงาน พวกเขาจึงพาฉันไปปราสาทตาพรหม โดยขณะกำลังยืนอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้อย่างเพลินๆ จู่ๆ เชียงก็ดึงมีดพกประจำตัวมาสลักชื่อบนลำต้นสปง (ขนาดย่อมไม่สูงใหญ่นัก)

ตอนนั้น ฉันยังไม่รู้หรอกว่าคือต้นอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่า มีไม้สปงเท่านั้นที่หยัดยืนและเคียงข้างมากับปราสาทแห่งนี้ กว่าที่ฉันจะรู้ว่ามันคือสปงซึ่งพบมากที่ปราสาทตาพรหม

เวลาและผู้คนก็ไม่เคยหวนคืนกลับมาอีก

มีแต่โกศัลเพียงคนเดียวที่ยังอยู่และพบพานครั้งคราวที่พนมเปญ (และเมื่อย้ายกลับกรุงเทพฯ)

แต่นั่นเอง ที่พบว่า ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ฉันไม่เคยเปิดประเด็นหัวข้ออื่นๆ ซึ่งให้โกศัลสนทนา

การมีวาจาและความที่มุ่งตรงอย่างนั้นกระมัง ที่ทำให้ฉันเป็นคนน่าเหนื่อยหน่าย เช่น วันหนึ่งเมื่อฉันซึ่งเดินจากเมืองไทยรอนแรมไปยังเขตกันดารซึ่งต้องโดยสารรถยนต์ค่อน 12 ชั่วโมง จึงจะถึง/และกลับอีกในเวลาเดียวกัน จากรัตนคีรีถึงพนมเปญ

หลังได้รับโทรศัพท์ โกศัลซึ่งเตรียมตัวมาพบฉันในชุดเรียบโก้ราวกับกำลังจะไปกินหาอาหารมื้อค่ำ ขณะที่ฉันยังอยู่ในคราบเสื้อผ้าที่มีแต่ไรฝุ่นจากการรอนแรมเดินทางราวกับรถโดยสารเก่าๆ ใบหน้าเกรียบกรอไปด้วยเปลวแดด

ยิ่งนานวันฉันก็ยิ่งกลายเป็นเหมือนต้นสปงงามที่ไชชอนรากของตนลงไปในชั้นดินอย่างมั่นคงและตลอดมา โดยโกศัลต่างหากที่ไม่เคยสังเกต

หรือมิฉะนั้น ก็เป็นเพราะว่าเขาตาบอดสี

 

หลายปีต่อมา เมื่อได้กลับไปเยือนปราสาทตาพรหมแห่งเสียมเรียบอีกครั้ง แต่สปงต้นนั้นดูเหมือนจะหายไป เฉกเช่นผู้คนที่ฉันเคยรู้จัก พวกเขาต่างพากันจากไป

โดยสบโอกาสอีกคราวหนึ่ง ฉันได้พยายามตามหาบ้านเชียงที่เคยอาศัยร่วมกว่าสัปดาห์ แต่ดูเหมือนเชียงและครอบครัวลูกเมียจะอพยพไปยังเขตพระวิเหียร์ ส่วนแม่และน้องๆ ต่างออกเรือนและแยกย้ายไปประกอบสัมมาอาชีพ ณ ถิ่นอื่นเช่นกัน

นั่นเอง ที่ฉันเพิ่งสังเกตว่า บ้านเก่าของเชียงนั้นอยู่ใกล้กับปราสาทพนมบาแค็ง จนแทบจะทิศตรงข้าม แต่บัดนี้ รัฐบาลได้เวนคืนที่ดินส่วนนี้ทั้งหมด

ช่างเป็นเจตคามที่ดีที่สุดของการมาเยือนเสียมเรียบครั้งนั้น โดยเฉพาะพลบค่ำมาเยือน ที่ฉันจะได้เห็นความสุกสกาวของดวงดาวที่คล้ายกับจะเอื้อมมือไปคว้าได้

พลัน ภาพถ่ายสาวน้อย-สรัยที่ฉันติดตัวและต้องการหมายจะให้เธอ (เมื่อเวลาผ่านไปนานถึงเพียงนั้น)

เธอคงรอคอยภาพนี้มาแรมปี ภาพที่ฉันถ่ายเธอกับ “อู ทิตยา” ที่นครวัด บัณฑิตหนุ่มที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด

หลายปีต่อมา หลังจากพลัดพรากชาวเสียมเรียบกลุ่มนี้ โดยที่ฉันเองนั้น ที่พบว่าสรัยสาวน้อยน่าจะตกหลุมรักชายแปลกหน้าอย่างฉับพลัน ในทุกครั้งที่ฉันมองรูปถ่ายใบนั้น

อืมห์ หรือฉันเองเล่า ที่ไม่ลืม อู ทิตยา?

 

ตอนเด็กๆ ฉันมักถูกบังคับไม่ให้อ่านหนังสืออ่านเล่น รวมทั้งความบันเทิงอื่นๆ เช่นการร้องรำทำเพลงนั้นด้วย ถ้าฉันเผลอไผลละเมิด ก็จะถูกทำโทษ

ชีวิตวัยเด็กที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบอันเคร่งครัด ทรหด อดทนและบึกบึนจากการทำไร่บุกเบิกยุคใช้แรงงานคนเป็นตัวขับเคลื่อนในสมัยก่อน จนแม้แต่เด็กเล็กๆ อย่างฉันก็ยังใช้แรงงานหนักไม่ต่างกรรมกร

เว้นแต่อาหารการกินที่สมบูรณ์กว่า…แล้ว บางครั้งฉันมักอดคิดไม่ได้ว่ามันคล้ายกับความยากลำบากที่มีรสชาติเหมือนสมัยเขมรแดง

เมื่อนึกตอนนี้ ก็พบว่า มันมีรสชาติของความสุขจากธรรมชาติอย่างเหลือที่จะกล่าว และจากฤดูกาลหนึ่งไปสู่อีกฤดูกาลหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีบางครั้งฉันเคยขุดดินในคืนเดือนหงาย ที่พบว่า ทำให้จิตใจสดชื่นไปอีกแบบ

คงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าหนอ เมื่ออยู่ในพนมเปญคราวหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันนึกเช่นไรไม่ทราบ จึงไปขออาศัยเป็นคนเฝ้าสวนขนาด 4 ไร่ของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งยังทิ้งไว้ว่างเปล่า

ที่นี่ ฉันมักใช้ช่วงหัวค่ำปีนไปนอนเขลงอยู่บนก้อนหินยักษ์กลางสวน ร้องเพลงงึมงำ ฟังลมพัดไหว และหลับใหลไปลำพังอย่างนั้นเอง

กลางดึกคืนไหน ถ้าน้ำค้างร่วงกราวลงใบกล้วยข้างห้อง ก็อดจะแย้มหน้าต่างมองลอดออกมาดูใบไม้ไหวไปมาเสียมิได้

โดยส่วนใหญ่ ในกลางวัน ฉันมักติดฟืนหุงข้าวเปียกกินกับตรัยเงียด ปลาเค็มแดดเดียว เป็นอาหารมื้อหลัก และไม่เคยพบว่าจะมีอาหารชนิดใดที่เลิศรสโอชาไปกว่านี้

การถูกเทรนอย่างหนักในวัยเด็กนั่นกระมัง ที่ทำให้ฉันพอใจที่จะอยู่แบบชาวพรต กล่าวคือ มีลักษณะเป็นลหุธาตุ เบา นุ่ม งาม ยามบรรเทา

ไม่หนักหน่วง สุดโต่ง และเหลือทน

เหมือน “แด่หนุ่ม-สาว” ทุกคนที่ฉันเขียนมา