ผ่านาทีอดีต ตร.ฆ่าหมู่ ‘หนองบัวลำภู’ วิปโยค ซ้ำเหตุกราดยิงโคราช คำถามคุมปืน-ยาเสพติด

อาชญา ข่าวสด

 

ผ่านาทีอดีต ตร.ฆ่าหมู่

‘หนองบัวลำภู’ วิปโยค

ซ้ำเหตุกราดยิงโคราช

คำถามคุมปืน-ยาเสพติด

 

ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สำหรับการสังหารหมู่ที่ จ.หนองบัวลำภู

โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กถึง 22 ราย ก่อนที่คนร้ายจะเตลิดหนีไปก่อเหตุสังหารบุคคลอื่น และจบปัญหาด้วยการสังหารภรรยาและลูก ก่อนยิงตัวตาย ที่บ้านพักของตัวเอง

รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากถึง 37 ราย

นำมาซึ่งคำถามว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คนที่เป็นถึงอดีตตำรวจ ผ่านการฝึกอบรมให้พิทักษ์สันติราษฎร์ ถึงกลับกลายเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมขนาดนี้

ไม่เพียงแค่นั้น หากย้อนไปเพียงไม่กี่ปีก่อนก็เกิดเหตุกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ที่คนร้ายเป็นจ่าทหาร ซึ่งครั้งนั้นก็มีการเรียกร้องให้ทบทวน ถอดบทเรียนทั้งเรื่องทางจิตวิทยา และการควบคุมอาวุธปืน

หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็แข็งขันจะปฏิรูปกองทัพ แต่แล้วทำได้ไม่กี่มากน้อย เมื่อกระแสซา ทุกอย่างก็เงียบลง จนไม่รู้ว่าการปฏิรูปที่เริ่มไว้ครั้งนั้น สัมฤทธิผลอย่างไรบ้าง

แล้วก็มาเกิดเหตุสลดขึ้นอีก เสียงเรียกร้องให้ทบทวนแก้ไขก็กระหึ่มขึ้นอีก

ไม่รู้ว่าจะนานเพียงใด หรือจะแก้ไขกันอย่างจริงจังหรือไม่

หรือจะรอให้เรื่องซา แล้วกวาดทุกอย่างอยู่ใต้พรม แล้วรอให้เกิดเหตุซ้ำซากขึ้นมาอีก

ไว้อาลัย

ช็อกอดีต ตร.ฆ่าหมู่ 37 ราย

เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 12.50 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม โดยมีรายงานว่าคนร้ายบุกเข้าไปสังหารหมู่เด็กนักเรียน ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู โดยเหยื่อที่เป็นเด็กอยู่ระหว่างนอนกลางวันหลังรับประทานอาหารเที่ยง จากนั้นขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ หมายเลขทะเบียน 6 กธ 6499 กรุงเทพมหานคร หลบหนีจากที่เกิดเหตุ โดยขับรถชนชาวบ้านตามเส้นทาง และใช้อาวุธปืนกราดยิงจนเกิดความสูญเสียจำนวนมาก

ขณะที่ผู้ก่อเหตุคือ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 35 ปี อดีตตำรวจ สภ.นาวัง ที่ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปี 2564 เนื่องจากเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบที่บ้านพักเลขที่ 115/1 หมู่ 1 ต.อุทัยสวรรค์ พบ ส.ต.อ.ปัญญาก่อเหตุยิงภรรยาและลูกชายวัย 4 ขวบเสียชีวิต ก่อนยิงตัวตายตาม ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อหาสาเหตุการลงมือโหดครั้งนี้

ทั้งนี้ จากรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่เวลา 12.45 น. โดย ส.ต.อ.ปัญญาบุกเข้าไปใน อบต.อุทัยสวรรค์ แล้วใช้ปืนซิกซาวเออร์ ขนาด 9 ม.ม. ยิงพนักงาน อบต.เสียชีวิต 2 ราย

จากนั้นบุกเข้าไปในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ ใช้อาวุธมีดฟันเด็กนักเรียนที่อยู่ระหว่างนอนกลางวัน เสียชีวิต 22 ราย ยิงครูเสียชีวิต 2 ราย

ก่อนขับปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีขาว เข้าไปในหมู่บ้านท่าอุทัยเหนือ หมู่ที่ 12 ต.อุทัยสวรรค์ ขับชนชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย แล้วขับรถกลับเข้าบ้าน ระหว่างทางยิงชาวบ้านเสียชีวิต 3 ราย แบ่งเป็นที่บ้านท่าอุทัย 2 ราย ที่บ้านหนองกุงศรี 1 ราย

เมื่อขับรถยนต์คันดังกล่าวถึงบ้าน ได้บุกยิงลูกและภรรยาเสียชีวิต แล้วยิงตัวตายตาม รวม 3 ราย และมีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลเสียชีวิตเพิ่มอีก

สรุปเหตุเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวรวมทั้งผู้ก่อเหตุด้วย ทั้งหมด 38 ราย

โดยครูที่ศูนย์เด็กเล็ก ที่รอดชีวิตมาได้เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ส.ต.อ.ปัญญาเดินทางมาที่ศูนย์เด็กเล็กดังกล่าว โดยครูคาดว่าจะมาเอานมไปให้ลูก เนื่องจากลูกของ ส.ต.อ.ปัญญาเองก็เรียนที่ดังกล่าว แต่หยุดเรียนเพราะไม่สบายไปกว่า 1 เดือน จู่ๆ ก็ใช้มีดที่พกมาด้วยฟันหัวเด็กที่นอนอยู่ทีละคน

จนพวกครูตกใจโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ ส.ต.อ.ปัญญาก็ใช้ปืนยิงครูและชาวบ้านที่ผ่านมาอีกหลายคน โดยมีนักเรียนรอดตายเพียงคนเดียว เนื่องจากนอนหลับคลุมโปง ทำให้คนร้ายไม่เห็น

ด้าน พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รอง ผบช.ภาค 4 ระบุว่า ก่อนก่อเหตุ ส.ต.อ.ปัญญาไปที่ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อนัดหมายฟังคำตัดสินคดีถูกจับกุมข้อหาครอบครองยาเสพติดในปี 2564 ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถูกออกจากราชการ คาดว่าเบื้องต้นอาจเกิดความเครียด ประกอบกับการเสพยาเสพติดทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก่อเหตุดังกล่าว

ส.ต.อ.ปัญญา

เปิดประวัติถูกไล่ออกราชการ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า ส.ต.อ.ปัญญาถูกไล่ออกจากราชการเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 นี่เอง ตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู ที่ 392/2565 ระบุว่า ส.ต.อ.ปัญญาถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีต้องหาคดีอาญาข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

พร้อมระบุพฤติกรรมความผิดว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 เวลา 13.34 น. ที่บ้านพักข้าราชการตำรวจ อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู ตร.กก.สส.ภ.จว.หนองบัวลำภู รับแจ้งจากสายลับว่า ส.ต.อ.ปัญญามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องยาเสพติด และดื่มสุราก่อความเดือดร้อนรำคาญให้บุคคลอื่น

จึงเดินทางมาตรวจสอบ และเชิญตัว ส.ต.อ.ปัญญามาสอบสวน ซึ่งสารภาพว่าเสพยาเสพติดประเภทยาบ้าและยาไอซ์ จากนั้นจึงตรวจบ้านพักพบยาบ้าสีแดง 1 เม็ดซ่อนอยู่ในกล่องพลาสติกใสบนตู้กับข้าว โดย ส.ต.อ.ปัญญายอมรับว่าเป็นยาบ้าตัวเอง จึงแจ้งข้อหา ทั้งนี้ การตรวจหาสารเมทแอมเฟตามีน เบื้องต้นเป็นลบ

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนคุมตัว ส.ต.อ.ปัญญา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ระหว่างเรื่องอยู่ในการพิจารณาของศาล คณะกรรมการสอบสวนมีมติเอกฉันท์ว่า ส.ต.อ.ปัญญามีความผิดวินัยร้ายแรง ให้ไล่ออกจากราชการ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ส.ต.อ.ปัญญารับราชการเมื่อปี 2555 ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ป. สน.ยานนาวา กทม. ก่อนย้ายไปที่ สภ.นาวัง เมื่อปี 2562 จากนั้นเริ่มทะเลาะกับแฟน เนื่องจากไม่ได้ย้ายมาด้วยกัน และมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีอารมณ์ฉุนเฉียว

เวลาออกปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เคยถูกมอบหมายให้ไปเฝ้าธนาคารออมสิน ก็ไปนอนในรถที่จอดหน้าธนาคาร เมื่อผู้จัดการธนาคารขอให้คุ้มกันการย้ายเงินเข้าเครื่องเอทีเอ็ม ก็แสดงอาการไม่พอใจ จนผู้จัดการธนาคารต้องไปฟ้องผู้บังคับบัญชา

ต่อมาเริ่มคบหากับ น.ส.หญิง พนักงานร้านคาราโอเกะ และมักพาเพื่อนมามั่วสุมดื่มสุรา ส่งเสียงดัง ที่ห้องพักข้าราชการตำรวจ เคยใช้ปืนยิงสุนัขชาวบ้าน และเมื่อกรกฎาคม 2564 ส.ต.อ.ปัญญาดื่มสุราในห้องพัก ส่งเสียงดัง มีเพื่อนตำรวจตักเตือน จนเกิดการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย

จากนั้นผู้บังคับบัญชาเรียกตัวทำทัณฑ์บน และสอบถามจนรับว่าเสพยาเสพติดตั้งแต่เรียนมัธยม จึงยึดอาวุธปืนประจำกายไว้ ตามโครงการตำรวจสีขาว จนกระทั่งถูกให้ออกจากราชการเพราะมียาบ้า 1 เม็ด

อย่างไรก็ตาม จากการชันสูตรไม่พบว่าในตัว ส.ต.อ.ปัญญาเสพสารเสพติดแต่อย่างใด!!!

รับศพเหยื่อ

จี้คุมเข้มอาวุธปืน-ยาเสพติด

สําหรับสาเหตุของเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ระบุว่า จากการสืบสวนทราบว่าเมื่อเวลา 04.00 น.ของวันเกิดเหตุ ส.ต.อ.ปัญญามีปากเสียงทะเลาะกับภรรยา จากนั้นภรรยาโทรศัพท์ไปหาแม่ที่บ้านให้มารับ เบื้องต้นจึงเชื่อว่าน่าจะเกิดจากความเครียดเรื่องปัญหาครอบครัว ระแวงว่าภรรยาจะไม่อยู่ด้วย เพราะระหว่างที่ ส.ต.อ.ปัญญาไปศาล ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อกลับมาก็มีเหตุขึ้น

จึงเป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนสอบสวนว่าสาเหตุการลงมืออย่างโหดเหี้ยมครั้งนี้เกิดจากอะไรกันแน่

แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้กลายเป็นประเด็นคำถามถึงเรื่องการควบคุมอาวุธปืน และเรื่องยาเสพติด ที่แพร่ระบาด ส่งผลให้เกิดคนคลุ้มคลั่งในชุมชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง ถึงขนาดระบุว่ายาบ้าในเมืองไทยนี้มีราคาต่ำสุดเพียงเม็ดละ 7 บาท

กลายเป็นประเด็นที่นำไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างรุนแรง

เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็เกิดเหตุกราดยิงหฤโหด ที่รู้จักกันในนามกราดยิงโคราช ซึ่งคนก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ทหารยศ จ.ส.อ. โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 โดย จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ก่อเหตุยิง พ.อ.อนันตโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชา และแม่ยายที่บ้านพักใน จ.นครราชสีมา จากปมขัดแย้งเงินกู้สวัสดิการกองทัพบก ที่กู้มาซื้อบ้าน

ก่อนจะกลายเป็นการบุกปล้นปืนจากค่ายสุรธรรมพิทักษ์ แล้วขับรถกราดยิงไปทั่วทั้งที่วัด จนกระทั่งเข้าไปในห้างเทอร์มินอล 21 และต่อสู้ขัดขืนการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สุดท้ายปิดฉากลงด้วยการจับตาย และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 30 ราย

นำมาซึ่งการเรียกร้องการปฏิรูปกองทัพ ทั้งเรื่องเงินสวัสดิการของกำลังพล การเก็บรักษาอาวุธปืน

ผ่านไปเพียง 2 ปี กลับเกิดเหตุขึ้นอีกโดยฝีมือของบุคคลที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธ

กลายเป็นคำถามว่าจะถอดบทเรียนจาก 2 เหตุการณ์นี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนหรือไม่

หรือพอเรื่องเงียบ ทุกอย่างก็เงียบตาม รอระเบิดเวลาลูกใหม่ที่จะปะทุขึ้นมา และกลายเป็นความสูญเสียของสังคมอีกครั้ง!!!