คนหนุ่มสาวเดือนตุลาและ 3 นิ้ว | ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

คนหนุ่มสาวเดือนตุลาและ 3 นิ้ว

 

เข้าเดือนตุลาคมของทุกปี ต้องมีการเคลื่อนไหวจัดงานรำลึกวีรชน 6 ตุลาคม 2519 และวีรชน 14 ตุลาคม 2516 โดยเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว 46 ปี และ 49 ปี แต่ก็ยังมีการจัดรำลึกกันทุกปี รำลึกเพื่อค้นหาความจริงเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอยอีก รำลึกเพื่อทวงความเป็นธรรม ไปจนถึงรำลึกเพื่อเชิดชูวีรกรรมการต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ขณะเดียวกัน ปีนี้เป็นงานรำลึกภายใต้บรรยากาศที่ถูกปิดกั้น เพราะอำนาจในยุคสมัยปัจจุบัน เป็นอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง เป็นยุคของฝ่ายขวาจัด

ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยม ขุนศึกขุนนางนี่แหละ คือคู่กรณีของวีรชนเดือนตุลาโดยตรง

ย้อนไปดูเหตุการณ์ปี 2516 ขณะนั้นเป็นยุครัฐบาลทหารถนอม-ประภาส และณรงค์

เป็นช่วงที่รัฐธรรมนูญก็ไม่มี เป็นยุครัฐบาลทหาร เป็นยุคสมัยที่ประชาธิปไตยยังไม่เติบโต

ด้วยการต่อสู้ของนักศึกษาประชาชน ซึ่งแกนนำคือนักศึกษาปัญญาชน ที่มีหัวใจใฝ่หาเสรีภาพ และได้มีโอกาสศึกษาตำรับตำราการเมืองโลก จึงเกิดความเร่าร้อนที่จะสู้เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยกับเขาเสียที

ประกอบกับถนอม-ประภาส-ณรงค์ เป็นกลุ่มนายทหารที่ผูกขาดอำนาจยาวนาน

พอถึงจุดที่นักศึกษาออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญแล้วถูกจับกุมกลายเป็นกบฏ จึงเป็นชนวนให้นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศลุกฮือเข้าร่วม

เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นการปราบปรามด้วยกระสุนจริง วีรชนล้มตายเลือดนองถนนราชดำเนิน ขณะที่ในหมู่ชั้นปกครองก็ได้โอกาสหักหลังกันเอง ทำให้เหตุการณ์ยิ่งบานปลาย สุดท้าย 3 ทรราชต้องบินหนีออกต่างประเทศ

ปิดฉากอำนาจเผด็จการทหาร เบิกม่านประชาธิปไตยครั้งที่ 2 หลังจากยุคคณะราษฎร 2475

หลัง 14 ตุลาคม 2516 ขบวนการนักศึกษาประชาชนยังขยายความเคลื่อนไหว เป็นพลังหลักในสังคมไทยในการต่อสู้ทุกปัญหาของบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเดินหน้าสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทำให้กลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมการเมือง ที่กำลังหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะล้มรัฐบาลฝ่ายขวา กลายเป็นประเทศสังคมนิยมกันถ้วนหน้า

ขวาจัดประเทศไทยจึงตัดสินใจก่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เพื่อหยุดขบวนการนักศึกษาประชาชน ที่เติบโตมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

3 ปีของขบวนการนักศึกษาประชาชนที่กำลังผลักดันประชาธิปไตยให้เติบโตเบ่งบาน ก็มีอันต้องถูกกวาดล้างปราบปราม

ผลักให้ขบวนการนักศึกษาเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับปืนต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจรัฐ ก่อนจะถึงจุดสลายเพราะความขัดแย้งภายในป่า ขัดแย้งในขบวนการคอมมิวนิสต์สากล และฝ่ายกองทัพเป็นยุคนายทหารมันสมอง ใช้การเมืองนำการทหาร

แต่การรำลึกถึงวีรชน 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ก็ยังดำเนินต่อมาในทุกๆ ปี

ภายใต้บรรยากาศที่มีเสรี หากเป็นยุครัฐบาลนักการเมืองจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งมายุคหลังเป็นรัฐบาลจากรัฐประหารและรัฐบาลจาก 250 ส.ว. จึงเต็มไปด้วยการปิดกั้น

 

ถึงที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางของวีรชนเดือนตุลาคมยังไม่บรรลุ การต่อสู้ที่เบิกม่านแสงสว่างเมื่อปี 2516 ก็ยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่สังคมใหม่ได้ ก่อนจะถูกปราบและกวาดล้างในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผลักให้นักศึกษาต้องเปลี่ยนแนวทางต่อสู้

การแห่เข้าป่าในปี 2519 ด้านหนึ่งเพราะชัดเจนว่า กลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมการเมืองไทย ไม่เปิดโอกาสให้การต่อสู้อย่างสันติวิธีดำเนินไปได้

การเข้าป่าร่วมจับปืนต่อสู้ของเหล่านักศึกษาปัญญาชน เป็นการเดินแนวทางอำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน ร่วมกับทหารประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์โค่นล้มรัฐบาล เพื่อสร้างสังคมใหม่

แต่ก็ไปไม่ถึงที่สุด เพราะขบวนการคอมมิวนิสต์ล่มสลาย และด้วยคำสั่งที่ 66/2523 ที่ผลักดันโดยทหารกองทัพยุคใช้มันสมอง ทำให้ปัญญาชนกลับคืนเมืองอีกครั้ง แบบพ่ายแพ้

ด้วยวัยที่ผ่านพ้นช่วงอายุคนหนุ่มสาว เหล่าคนเดือนตุลาคม จึงมีทั้งปิดฉากการเมืองสำหรับตัวเอง หรือเปลี่ยนสีแปรธาตุไปเป็นฝ่ายขวา เพื่อความมั่นคงมั่งคั่ง

จำนวนไม่น้อยเข้าสู่ถนนสายการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชน

บทสรุปการต่อสู้อันยาวนาน ทำให้เห็นว่า แนวทางสังคมนิยม แนวทางคอมมิวนิสต์ ไม่สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป

โดยประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งโดยมือประชาชน เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในวันนี้ แต่ก็ต้องต่อสู้ต่อไปอีก เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยไทย เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

ท่ามกลางการถูกแทรกแซงจากอำนาจอนุรักษนิยม ขุนศึกขุนนาง โดยรัฐประหารบ้าง ใช้รัฐธรรมนูญที่เต็มไปด้วยกลไกเอื้อเผด็จการบ้าง

ขณะเดียวกัน คนเดือนตุลาอีกส่วน มุ่งสู่การเป็นนักวิชาการ ใช้พลังความรู้มาผลักดันสังคมไทยให้เคลื่อนไหวไปข้างหน้า

เท่ากับว่าคนเดือนตุลาฯ ไม่ว่าจะเป็นยุค 2516 หรือ 2519 ที่ยังคงเดินหน้าสร้างสังคมที่ดี ก็ยังต้องต่อสู้กันต่อไป เพราะประชาธิปไตยไทยเรายังไปไม่ถึงความเป็นเสรีอย่างแท้จริง

แต่พร้อมๆ กันก็มีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น สืบต่อขบวนการนักศึกษาที่เคยยิ่งใหญ่ในยุค 2516-2519

โดยสาระและเป้าหมายของคนหนุ่มสาวในยุคนี้ ปรับเปลี่ยนตามสภาพปัญหาของประเทศในยุคปัจจุบัน

 

หลังจากนักศึกษาถูกกวาดล้างและเปลี่ยนแนวทางไปในปี 2519 จากนั้นเมื่อป่าแตกในช่วงปี 2523-2525 ต้องกลับคืนเมืองอย่างผิดหวัง ทำให้บรรยากาศโดยรวมของคนหนุ่มสาวในยุคนั้นพลอยซบเซาไปด้วย

แต่องค์กรเคลื่อนไหวของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสูญหายไป มีต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ไม่คึกคักไม่เติบโต มีช่วงเงียบเหงาซบเซายาวนาน

จนกระทั่งการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่อำนาจ ด้วยปืนและรถถัง เป็นการย้อนยุคสังคมไทยอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการกลับมาของอำนาจขุนศึกขุนนางอย่างเต็มตัว จึงเป็นชนวนให้คนหนุ่มสาวยุคใหม่เริ่มเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านเผด็จการอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

คนหนุ่มสาวในยุคหลัง บางส่วนก่อกระแส ย้ายประเทศกันเถอะ เพื่อแสดงการต่อต้านความล้าหลังของประเทศนี้ แต่พร้อมๆ กันก็เป็นช่วงที่คนหนุ่มสาวสิ้นหวัง พยายามจะหาทางไปเรียนต่อไปทำงานต่างประเทศกันมากมาย

จนกระทั่งการเลือกตั้งในปี 2562 ที่เกิดพรรคการเมืองแนวคนรุ่นใหม่เป็นครั้งแรกของสังคมไทย ทำให้คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่เริ่มมีความหวัง เริ่มไม่ต้องการย้ายประเทศกันแล้ว

เป็นการเลือกตั้งที่คนรุ่นใหม่ไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงคึกคัก และส่งให้พรรคการเมืองแนวคนรุ่นใหม่ ผงาดบนถนนการเมือง

แต่แล้วการใช้อำนาจล้มพรรคการเมืองดังกล่าว ก็ผลักคนหนุ่มสาวลงถนนอีกครั้ง ภายใต้ขบวนการชูสามนิ้ว เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและเข้มข้นอย่างมาก ในช่วงปลายปี 2562 และตลอดปี 2563

ก่อนจะชะงักไปเมื่อสังคมเข้าสู่สถานการณ์ระบาดของโควิด และแกนนำติดคุกกันระนาว

แต่ไม่มีใครเชื่อว่า ขบวนการคนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันหรือยุค 3 นิ้ว ได้สิ้นสลายหรือเงียบหายไปแล้ว เป็นเพียงการรอเวลากลับมาใหม่เท่านั้นเอง

เส้นทางการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวนับจากปี 2516 ถึงปี 2519 ไปสู่ช่วงเข้าป่าจับปืน ก่อนป่าแตก และบทบาทส่งทอดมาสู่คนหนุ่มสาวยุค 3 นิ้ว ในปี 2563

เราจะพบว่าการต่อสู้ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย ยังไม่ได้สังคมใหม่ที่เสรีแท้จริง

การรำลึกถึงวีรชน 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคม ยังมีต่อไปทุกปี มาจนถึงวันนี้ เพราะคนเดือนตุลาคมรุ่นเก่าบางส่วนก็ยังต่อสู้ในหนทางใหม่ๆ ต่อไป

รวมทั้งคนหนุ่มสาว 3 นิ้วยุคปัจจุบันก็ร่วมรำลึกศึกษาจิตใจการต่อสู้นั้น เพื่อสืบทอดต่อไป!