HAVAL H6 ปลั๊กอิน ไฮบริด เด่นที่ออปชั่น-วิ่งไฟฟ้าล้วน 201 ก.ม.

สันติ จิรพรพนิต
Haval H6

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว “ฮาวาล เอช6 ปลั๊กอิน ไฮบริด” (All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid) เอสยูวีพลังงานไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กรุ่นใหม่ล่าสุด หรือ PHEV

ก่อนหน้านี้ฮาวาล เอช6 รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ที่ “เกรท วอลล์ มอเตอร์” ประเดิมส่งเข้ามาทำตลาด สร้างกระแสได้ไม่น้อย กวาดยอดขายสุดสบึม

เพราะไม่เพียงรูปร่างหน้าตาจะดูดีมีชาติตระกูลเท่านั้น ขนาดใหญ่โตโอฬาร แถมรถทั้งคันอัดแน่นไปด้วยออปชั่นไฮเทค

หลายอย่างเป็นครั้งแรกของเซ็กเมนต์ด้วย

ขณะที่ตั้งราคามาชนิดแตกตื่น มี 2 รุ่นย่อย ราคา 1,149,000-1,249,000 บาท

ทำให้แม้เป็นรถแบรนด์ใหม่ที่มาจากจีน แต่คนไทยพร้อมตอบรับอย่างไม่ลังเล

จึงเมื่อชิมลางสร้างกระแสได้อย่างน่าพอใจจึงส่งรุ่นอื่นๆ ทั้งเอสยูวีเล็ก และเก๋งไฟฟ้าล้วน

ล่าสุดตีปี๊บ “ฮาวาล เอช6 ปลั๊กอิน ไฮบริด” เอาใจสายพลังงานทางเลือกอีกรูปแบบหนึ่งที่ประหยัดกว่าไฮบริด แต่ยังไม่อยากไปถึงขั้นรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ EV

โดยอวดโฉมในไทยเป็นครั้งแรกของโลก ในงานมหกรรมยานยนต์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก เรียกว่าออกมาเพื่อตีกันคนที่กำลังตัดสินใจว่ารออีกนิด

ซึ่งมีเสียงตอบรับอย่างดี เห็นได้จากกวาดยอดจองสิทธิ์กับแคมเปญ ULTRA DEAL มากถึง 3,067 คันภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง หลังการเปิดรับจองเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา

ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการค่ำวันที่วันที่ 7 ตุลาคม 2565

มาพร้อมมิติตัวรถขนาดกว้างขวาง ดีไซน์ด้านหน้าแบบ Star Matrix ล้ำสมัย ดูเฉี่ยวกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปพอสมควร

ไฟหน้า เรียวเล็กแบบ Intelligent LED Headlamp ให้ความสว่างแบบ Ultra-High Flow พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และไฟสูงอัตโนมัติ

ไฟท้าย LED Taillight Strip พาดยาวจากซ้ายจรดขวาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีเดียวกับตัวรถ

เสาอากาศแบบครีบฉลาม และติดตั้งแร็กหลังคาสีโครเมียมมาให้ด้วย

ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และระบบแฮนด์ฟรี

ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 19 นิ้ว

ภายในชูแนวคิด Minimalist ที่เน้นความกว้างขวาง สะดวกสบาย และใส่ใจในทุกรายละเอียด ด้วยคอนโซลหน้าทูโทนสีดำ-เทาสไตล์ Futuristic

หน้าจออัจฉริยะ 2 จอเพื่อการเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงได้อย่างง่ายดาย

พวงมาลัย 3 ก้านระบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมปุ่มควบคุมความเร็วอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง

ระบบแอร์อัตโนมัติ พร้อมตัวกรองอากาศ CN95 และ Ionizer ลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 และลดกลิ่นในห้องโดยสาร

เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบระบายอากาศ

เบาะนั่งโดยสารด้านหลังพร้อมที่เท้าแขนกลาง

แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจ Smart Key และระบบ Push Start

หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิก 360 องศา

ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5L Turbo ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า และเพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์แบบ Multi-mode DHT

ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 530 นิวตันเมตร

ผนวกกับแบตเตอรี่ชนิดลิเธียม Ternary ความจุ 34 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 201 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC

พร้อมกับหัวชาร์จไฟฟ้าแบบ CCS Type 2 Combo รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟกระแสตรง DC (0%-80%) โดยใช้เวลาประมาณ 35 นาที

ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้าน AC (0%-100%) ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง

หากเทียบกับรุ่นไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบเหมือนกัน พละกำลังให้มาเหนือกว่าพอสมควร เพราะรุ่นไฮบริดกำลังสูงสุดอยู่ที่ 243 แรงม้า ส่วนแรงบิดเท่ากัน

เห็นสเป๊กเครื่องยนต์บวกมอเตอร์ไฟฟ้า อนุมานว่าน่าจะขับสนุกพอสมควร เพราะรุ่นไฮบริดเวลาออกตัวก็สุดเหวี่ยงไม่น้อย

แม้ตัวถังจะใหญ่ น้ำหนักจะเยอะก็ตาม

หากเทียบกับรุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่ให้มาเยอะกว่า อัตราเร่งกลางและปลายน่าจะไหลลื่นไม่น้อย

อีกจุดเด่นคือพิสัยทำการของแบตเตอรี่ที่ไกลถึง 201 กิโลเมตร ใช้งานจริงอย่างต่ำๆ ต้องวิ่งได้ 170-180 กิโลเมตรแน่ๆ

การใช้งานในชีวิตประจำวันแทบไม่ต้องใช้น้ำมันสักหยด อารมณ์ไม่ต่างจากขับรถไฟฟ้าล้วนๆ เลย

แทบเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดที่มีรัศมีทำการเฉพาะแบตเตอรี่ไกลอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้

ออปชั่นไฮเทคที่เป็นจุดเด่นของค่ายนี้ใส่มาไม่ยั้งเช่นเดิม อาทิ อัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA)

ระบบการสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ

ระบบควบคุมผ่าน GWM Application

เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยเพื่อการเดินทาง อาทิ

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) สามารถหยุดและออกสตาร์ตใหม่ (Stop and Go) กลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้าได้

ระบบการเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) จะลดความเร็วรถโดยอัตโนมัติขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้

ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (IIP) 3 รูปแบบ ช่วยการถอยจอดรถในแนวตรง แนวเอียงและจอดเทียบด้านข้าง

ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA)

ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)

ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)

ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)

ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM)

ต้องบอกว่าหลายฟังก์ชั่นถือเป็นครั้งแรก และเหนือกว่ารถในเซ็กเมนต์เดียวกัน

สำหรับราคาขอละไว้ ณ ที่นี้ เพราะตอนเขียนต้นฉบับยังไม่เปิดเผยข้อมูล แต่คาดว่าระดับล้านกลางๆ