แค่เขียนเสือให้วัวกลัว/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

แค่เขียนเสือให้วัวกลัว

 

กระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหาร กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อบุคคลระดับรัฐมนตรีในรัฐบาล ออกมาพูดถึงการเคลื่อนไหวของม็อบต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนเป็นการพูดเตือนด้วยความห่วงใยสถานการณ์ แต่หลายฝ่ายก็ตีความว่าเป็นการข่มขู่มากกว่า

โดยรัฐมนตรีดังกล่าวพูดทำนองว่า ไม่อยากให้มีการชุมนุมเคลื่อนไหว เพราะอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ ซึ่งไม่เป็นเรื่องดี ตอนนี้ก็ใกล้จะมีเลือกตั้งแล้ว ถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไร ต้องระวังจะไม่มีการเลือกตั้งก็ได้

แปลง่ายๆ ว่า อย่านัดชุมนุมอะไรเลย เดี๋ยวมีความรุนแรง ก็จะมีการรัฐประหาร

แถมยังเอาการเลือกตั้งมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเบรกกระแสม็อบ ทำนองว่า ถ้าอยากเลือกตั้ง ก็จงอย่าได้มีม็อบเพื่อต่อต้านประยุทธ์

คำถามคือ การปฏิวัติรัฐประหารในขณะนี้เป็นไปได้หรือไม่

แม้จะมีหลายคนมองว่า ประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ การรัฐประหารก็เกิดได้เสมอๆ และเกิดบ่อยครั้งในประเทศนี้

แต่ถ้าจับตามองกองทัพในยุคนี้ โดยเฉพาะกองทัพบกหน่วยกำลังหลักที่ต้องใช้ หากจะก่อรัฐประหาร

จะพบว่ายุค พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ หรือบิ๊กบี้ เป็นผู้นำกองทัพบก มีลักษณะโดดเด่นชัดเจนคือ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่สนใจการเมือง ไม่สนใจจะเข้าสู่อำนาจการเมือง เป็นประเภทนายทหารอาชีพอยู่ในกรมกองของแท้

พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็น ผบ.ทบ.ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 และจะอยู่ต่อไปอีก 1 ปี เกษียณ 30 กันยายน 2566

2 ปีที่ผ่านมาของบิ๊กบี้ ไม่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องการเมืองเลย ไม่เคยออกมาแสดงการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลย

จนมีข่าวสะพัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ผบ.ทบ.ในการโยกย้ายประจำปี 2565 แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ

มีอย่างเดียวคือ ไม่เคยออกมาทะเลาะกับผู้คนเพื่อปกป้องรัฐบาลประยุทธ์

หากตรวจสอบกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพแล้ว จะได้คำตอบใกล้เคียงกันคือ ยุคของบิ๊กบี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะเคลื่อนไหวอะไรเพื่อรับใช้การเมือง รับใช้รัฐบาล

ยิ่งจะรัฐประหารเพื่อปกป้องทางการเมือง ยิ่งเป็นไปไม่ได้

ข้อสำคัญ พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่ใช่นายทหารที่ปรารถนาจะเข้าสู่อำนาจทางการเมืองใดๆ เป็นประเภทครบเกษียณเมื่อไรก็จบแค่นั้น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องปกป้องรัฐบาล เพื่อจะได้เป็นตัวเลือกในทางการเมืองคนต่อไป อะไรประเภทนั้น

เมื่อตรวจสอบได้เช่นนี้ ก็พอจะตีความได้ว่า กระแสข่าวรัฐประหาร เป็นเพียงการจงใจจะนำมาใช้ เพื่อปรามม็อบต่อต้านประยุทธ์

เป็นแค่เขียนเสือให้วัวกลัว ปรากฏว่าวัวไม่กลัว เพราะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้จริง!!

 

อันที่จริงในช่วงเดือนกันยายนนี้ เพิ่งมีการพูดจาทบทวนถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการฉุดประเทศชาติ ฉุดประชาธิปไตยให้ถอยหลัง โดยการรัฐประหารของบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อ 16 ปีก่อน ถือว่าเป็นภาคแรก

ต่อมาก็มีภาค 2 เป็นภาคต่อเนื่อง ที่ลงมือโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็เข้าสู่อำนาจทางการเมือง ต่อเนื่องมา 8 ปีแล้ว

มีการอธิบายให้เห็นพิษภัยของการรัฐประหารทั้ง 19 กันยายน 2549 แล้วต่อด้วยรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ว่าทำให้บ้านเมืองถดถอยสร้างความเสียหายอย่างมาก

อีกทั้งข้ออ้างว่าเพื่อหยุดความขัดแย้งแตกแยกระหว่างสี ก็ชัดเจนว่าไม่ได้ออกมาหยุดความขัดแย้ง แต่ร่วมมือกับม็อบที่ก่อความขัดแย้ง เพื่อปูทางสู่การยึดอำนาจล้มรัฐบาลประชาธิปไตย

เป็นการช่วงชิงอำนาจจากนักการเมืองจากการเลือกตั้ง ให้ไปสู่มือของเครือข่ายอนุรักษนิยมการเมืองล้าหลัง

แล้วผู้ก่อรัฐประหารนั่นเอง ที่ร่วมก่อความแตกแยกในบ้านเมืองต่อไป

กระแสต้านรัฐประหารเนื่องในวาระ 19 กันยายน 2549 กระหึ่มไปทั่ว ถือเป็นช่วงถดถอยของเครือข่ายขุนศึกขุนนาง

เป็นกระแสขาลงอย่างนี้ ถ้ายังเข็นรถถังออกมาล้มกระดานการเมืองอีก มีแต่จะเจอแรงต่อต้านจากประชาชนหนักหนาสาหัส

ไม่มีบรรยากาศถือดอกไม้ไปมอบให้คนขี่รถถังอีกเป็นแน่!!

ยิ่งเมื่อตรวจสอบได้ว่า กองทัพบกยุคบิ๊กบี้ เป็นยุคที่ไม่สนการเมือง ไม่ยุ่งการเมือง ไม่ปรารถนาจะเข้าสู่อำนาจการเมือง

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยออกมาพูดจาให้สัมภาษณ์ปะทะกับใครเพื่อดูแลปกป้องรัฐบาล แถมวันนี้ก็ยังกุมอำนาจกองทัพต่อไปอีก 1 ปี

จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าสำหรับกระแสรัฐประหาร ไม่มีแม้แต่กลิ่นโชยออกมาด้วยซ้ำ

 

หากตรวจดูวงจรอำนาจการเมืองไทยจะพบว่า การรัฐประหารเพื่อล้มประชาธิปไตย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองเป็นรัฐบาลในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร เริ่มมีเรื่องเหลวไหลการทุจริตคอร์รัปชั่นอื้อฉาว

เป็นช่วงขาลงของรัฐบาลนักการเมืองจากการเลือกตั้ง

พอได้จังหวะเหมาะเจาะ นั่นแหละจึงมีการรัฐประหาร ด้วยข้ออ้างว่าทหารต้องเข้ามาเป็นพระเอกเพื่อหยุดการโกงกิน หรือมุขล่าสุดของการรัฐประหารยุคบิ๊กบังและบิ๊กตู่คือ เพื่อหยุดสงครามกลางเมือง หยุดความแตกแยกระหว่างสี

ครั้นมามองดูรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจ แล้วเข้ามาเป็นนายกฯ ในรัฐบาลทหาร คสช.

ตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช. ไม่สามารถบริหารประเทศให้เจริญงอกงามทางเศรษฐกิจได้เลย

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์และกลุ่มอำนาจ 3 ป. ก็ยังยึดครองอำนาจการเมืองต่อ หลังการเลือกตั้ง 2562 ด้วยกติการัฐธรรมนูญ ที่ให้ 250 ส.ว.มีอำนาจโหวตนายกฯ อยู่เหนือเสียงประชาชนที่ไปเลือกตั้ง

กว่า 3 ปีแล้ว ที่รัฐบาลประยุทธ์ในยุคที่สอง ไม่สามารถแก้วิกฤตเศรษฐกิจได้ ปัญหาปากท้องประชาชนยิ่งสาหัส

เป็นช่วงขาลงของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารและด้วยกลไก 250 ส.ว. มีแต่ดิ่งลงไปเรื่อยๆ

จึงไม่ใช่จังหวะที่ฝ่ายขุนศึกขุนนางจะพลิกสถานการณ์เข้ามาครองอำนาจด้วยการรัฐประหารแต่อย่างใด

กระแสของคนในสังคมโดยส่วนใหญ่วันนี้ จึงโหยหาพรรคการเมืองที่ประชาชนเคยไว้วางใจและเห็นผลงานมาแล้วว่า จะสามารถกอบกู้เศรษฐกิจได้อย่างทันตาเห็น

8 ปีของกลุ่มอำนาจทหาร เปรียบเป็นกราฟ ก็มีแต่ดิ่งลงไปเรื่อยๆ

อารมณ์ของประชาชนจึงมุ่งหารัฐบาลนักการเมืองที่เก่งกาจด้านกู้ปัญหาปากท้อง

มีแต่การพูดถึงเลือกตั้งครั้งต่อไปว่า ต้องไปเลือกแบบแลนด์สไลด์พรรคฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้ 250 ส.ว.มีฤทธิ์เดชอะไรได้

เมื่อฝ่ายขุนศึกขุนนางกำลังเป็นช่วงขาลง

จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้เกิดรัฐประหารได้

ในเมื่อรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งจริงๆ ไม่ได้มีอำนาจมา 8 ปีแล้ว

จะหาข้ออ้างทุจริตโกงกินมาใช้เคลื่อนรถถังไม่ได้แน่นอน!