ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
บ้านเงียบมาก
จริงๆ มันก็เงียบมานานแล้วตั้งแต่พ่อตาย
แม่ย้ายลงไปนอนข้างล่าง
ฉันรู้นะ ฉันรู้
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องที่แม่เจาะทะลุกัน กรอบกระจกยาวจรดพื้นมองเห็นสวน
ฉันรู้แต่ฉันไม่อยากใส่ใจ
ใจกว้างหน่อยสิ
ดีแค่ไหนแล้วที่แม่จะได้มีคนดูแล
เสียงพูดคุยงึมงำกับเสียงหัวเราะที่ดังแว่วลอดผนังหนาและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเป็นเสียงของใครอีกคน
คนที่ฉันไม่รู้จักเลย
พอพ่อจากไปเราต่างก็รู้สึกว่างเปล่า
อยู่กันไปแบบฉาบฉวย
ปิดซ่อนเรื่องราวเอาไว้ข้างใน
พร้อมๆ กับเรียนรู้ว่าความรักไม่อาจรั้งใครกลับจากความตาย
“พี่เคยเป็นโรคนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่เดือดร้อนอะไร ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย พี่เลยคิดว่าไม่ต้องรักษาก็ได้ แต่วันหนึ่ง พี่ก็ได้รู้ว่า เราจะอยู่กับโรคนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องหาย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อคนอื่น…เพื่อเราจะได้ปฏิบัติต่อคนที่เรารักได้อย่างที่มนุษย์ควรจะทำ”*
กี่ครั้งแล้วนะที่ฉันกระหายต่อการเป็นที่รัก
ฉันเหนื่อยกับการพิสูจน์ตัวตน แต่ก็ยังอยากเป็นคนพิเศษอย่างแยบยล อยากเป็นคนที่ถูกเลือก เป็นคนสำคัญด้วยท่าทีสบายๆ คล้ายไม่ใส่ใจ อยากเอามือทาบอกแล้วพูดเสียงสูงว่า-อะไรกัน นี่ก็ธรรมดานะ-
แต่ก็ไม่มีหรอก
ฉันตั้งโจทย์ผิดเสมอมา
ดังนั้น คำตอบจึงไม่ใช่ฉัน
ดังนั้น จึงเป็นฉันที่ยืนรดน้ำต้นไม้เหี่ยวแห้งนอกระเบียงกลางแดดจ้า หวังว่ามันจะผลิดอกงอกงามทันเขากลับมาเห็น
ดังนั้น จึงเป็นฉันที่ลืมตาตื่นกลางดึก มาฟังเรื่องตลกของคนเมาเรื่องเดิมเป็นรอบที่ร้อย และบอกตัวเองว่านี่คือช่วงเวลาดีๆ
“คุณป่วยเป็นโรคหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่รัก…คนเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะนะครับ คุณเป็นรายที่แปดแล้วสำหรับสัปดาห์นี้ อาการของโรคนี้คือทำให้ประสาทสัมผัสของคุณไม่สามารถรับรู้เกี่ยวกับคนที่คุณรักได้ คุณจะมองคนรักไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงของเขาไม่รู้ว่าถูกแตะต้องตัวอยู่ โรคนี้พัฒนามาจากลักษณะอย่างหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์มักจะละเลยคนที่ตัวเองรัก จัดความสำคัญของครอบครัวและเพื่อนที่ดีที่สุดไว้ท้ายสุดสร้างความประทับใจให้คนที่เพิ่งรู้จักก่อน คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหนักกว่านั้น คือเปลี่ยนจากแค่ไม่สนใจ ไปจนถึงขั้นมองข้าม และในที่สุดก็มองไม่เห็นเลย”*
-มีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นแหละที่คงอยู่-
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดตอนอ้วกออกมาจนหมดเนื้อตัว หนาวสั่นชื้นเหงื่อ รูดไถลลงไปบนพื้นห้องน้ำสาธารณะที่แสนสกปรก มือกำสายกระเป๋าไว้แน่นเหมือนเป็นเครื่องช่วยชีวิต
ฉันแนบหน้าลงบนกระดำกระด่างของฝารองชักโครก รอยขีดข่วนหยาบๆ กดลงบนผิวเนื้อ – สกปรก – ฉันคิดในใจ ตามองลอดใต้ประตูเห็นรองเท้าหลากแบบหลายคู่เดินไปมา รอทำธุระส่วนตัว
ฉันคาดหวังอะไรนักหนากับชีวิต
ฉันคาดหวังอะไรกับการพาตัวเองมาตรงนี้
ทุลักทุเลและโดดเดี่ยว มีเพียงเรานั่งพิงลูกกรงเป็นซี่ๆ เบื้องหน้ามีขวดเบียร์ ร้อนแสนร้อน และดูไม่สำคัญอะไร
ทุกคนมีหน้าที่ยกเว้นฉัน ที่มาเพียงเพื่อเป็นไม้ประดับเสริมบารมี เป็นคนที่ลนลานมาหา อยากมาสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำ เป็นคนที่ให้ของขวัญวันเกิดก่อนใคร เป็นคนที่กำของขวัญมาให้เขา ราคาเหยียบหมื่นนั้นน่าจะสร้างความประทับใจให้ผู้รับบ้างสิ
แต่ก็ไม่
มีเพียงเสียงแสดงความเห็นว่ามันน่าจะเป็นอีกอย่างที่ต้องการมากกว่า
ห้องน้ำนั้นอยู่ไม่ไกลสำหรับคนปกติ แต่ทันทีที่มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด ระยะทางจะยืดยาวขึ้นเหมือนไม่รู้จักจบสิ้น กลุ่มผู้หญิงรวมตัวกัน เดินหาซอกหลืบมืดลับเป็นเงาตะคุ่ม ทรุดตัวนั่งยองปลดปล่อยระหว่างส่งเสียงถามไถ่ว่าคืนนี้จะไปไหนกันต่อ
มันต้องสำคัญขนาดไหนนะ ถึงทำให้ผู้หญิงสิ้นอายกับการมาปลดทุกข์ลับล่อข้างถนน กางเกงในลูกไม้ฝรั่งเศสไม่ได้ถูกผลิตมาเพื่ออะไรอย่างนี้ และรองเท้าก็ไม่คุ้นกับการเหยียบบี้แมลงสาบที่ไต่ผ่านขึ้นมาบนขา
วันนี้ฉันมาห้องน้ำทัน และอ้วกออกจนหมดไส้พุงทั้งที่ยังไม่เมา มีคนหิ้วปีกฉันมาถึงห้องน้ำนี้ รองเท้าผ้าใบขยับอย่างกระสับกระส่ายพร้อมข้อนิ้วรัวบนประตู
พี่ไหวมั้ย
ฉันอยากหัวเราะแต่ก็ทำไม่ได้
ไหวมั้ย
ไม่ไหวหรอก
ชีวิตมนุษย์ผู้อยากได้ความรักสักครั้ง ไม่สมควรถูกย่ำยีจนตกต่ำเช่นนี้
ฉันกลายเป็นหนึ่งเดียวกับที่ปลดทุกข์แสนสกปรกนั่น
————————————————————————–
*ข้อความจากเรื่องสั้น “ล่องหน” ในหนังสือ