ตายแล้ว…เกิดใหม่ / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : น้อยคำพันธ์

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

น้อยคำพันธ์

 

ตายแล้ว…เกิดใหม่

 

“เรียนคุณวิทย์ พรุ่งนี้ดิฉันทราบดีว่าเป็นวันหยุดและคุณวิทย์ไม่มีนัดหมายใดๆ ดิฉันจึงใคร่อยากจะให้คุณวิทย์ไปวัดกับดิฉัน กรุณาเตรียมเสื้อผ้าตามที่บอกไปด้วย แผนที่วัดอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมกับแคร์รอตเค้ก เจอกันที่วัดเลยก็ได้นะคะเวลา 13.00 น. ดิฉันทราบดีว่าคงไม่อยากเดินทางไปร่วมกัน”

ฉันยืนอ่านกระดาษโน้ตที่แปะติดตู้เย็นในครัวก่อนเปิดหยิบน้ำเย็นที่อยู่ในเขตของฉันมาเทใส่แก้วดื่มเพื่อให้ตัวเองคลายความประหลาดใจลงสักนิด ลายมือแม่ยังคงอ่านง่าย ชัด สวย เป็นระเบียบ และขึ้นต้นอย่างเป็นทางการว่า “เรียนคุณวิทย์” จนฉันอดขำไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ นี่เป็นวิธีการที่แม่ใช้สื่อสารกับฉันหลังจากที่เราทั้งสองคนไม่คุยกันมาร่วมสามปี และนี่เป็นครั้งแรกที่แม่ชวนให้ฉันไปวัดกับแม่

จะว่าไปเรื่องที่ทำให้คนในครอบครัวไม่คุยกันเป็นเรื่องใหญ่หรือซับซ้อนมากสำหรับครอบครัวนั้นๆ ส่วนคนนอกที่ชอบแสดงความเห็นคงคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยอมกันลงให้กันมากกว่า ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คนในบ้านไม่ยอมพูดกันอย่างตรงไปตรงมามันอึดอัดนะ แต่ละคนต้องใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่จำกัด แม้จะมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างแต่มันก็คับแคบ คนกลางอย่างฉันพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ทุกคนในบ้านยังอยู่ด้วยกันได้ การที่ต้องทนอยู่กับปัญหาที่ต่างฝ่ายต่างอยากเอาชนะและใช้ความพยายามทุกทางเพื่อให้อีกฝ่ายยอม พวกคุณไม่รู้อะไรหรอก นอกจากเรื่องที่พวกเราอยากให้รู้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าออกจากปากแม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าออกจากปากฉันก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างคนต่างมุมมองมันจะเหมือนกันได้ยังไง จริงไหม

ไม่อย่างนั้นรายการโทรทัศน์ประเภทจับคนที่เห็นต่างมานั่งเผชิญหน้ากันคงจะไม่เป็นที่นิยมหรอก

 

เสียงกุกกักอยู่ด้านบนบ้านไม้สองชั้นทำให้ฉันเดาได้ไม่ยากว่า แม่คงกำลังง่วนจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะไปวัดพรุ่งนี้อย่างแน่นอน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมทำไม เสื้อผ้าในตู้ก็มีอยู่สีเดียว แบบก็คล้ายๆ กัน เลือกแค่ว่าจะใส่กางเกงหรือกระโปรง มันจะยากอะไรนักหนา เพราะมันก็สีเดียวกับเสื้ออยู่แล้ว แม่เองก็แต่งตัวแบบนี้ทุกวัน แม้แต่ผ้าคลุมกันเปื้อนที่แม่ใส่ทำเค้กที่แขวนอยู่นั่นก็เช่นกัน

แคร์รอตเค้กอร่อยเหมือนเคย นานๆ แม่จะทำสักที แม่ทำเค้กเฉพาะในโอกาสพิเศษ พรุ่งนี้มันต้องเป็นโอกาสพิเศษแน่ๆ ฉันเปิดดูแผนที่ที่แม่วาดการเดินทางจากบ้านไปถึงวัดอย่างละเอียด แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ใครๆ เขาก็ใช้จีพีเอสนำทางกันแล้ว แต่แม่ยังเลือกใช้วิธีการเดิมๆ แม่ไม่เคยเปลี่ยนความคิดและวิธีการ แม่ใช้แบบแผนเดียวกันไม่ว่าจะฉันหรือพ่อหรือกับใครๆ พ่อไม่ชอบกินเค้กแคร์รอตเหมือนฉัน เขาเลยทิ้งแม่ไปตอนที่แม่ทิ้งเขาไปม็อบเพื่อยึดทำเนียบรัฐบาล ส่วนฉันยังอยู่กับแม่แต่ไม่ใช่เพราะเค้กหรอกนะ

“เมื่อไหร่แกจะเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นเขาสักที” เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินเสียงแม่ หลังจากนั้นแม่ก็ทำเหมือนฉันเป็นอากาศเวลาอยู่ด้วยกัน แม่ไม่แม้แต่จะปรายตามามองเวลาเราเดินสวนกันหรือฉันเดินผ่าน แม่เคยบอกว่ามันทุเรศ สภาพอย่างฉันใครเห็นก็รังเกียจเหยียดหยาม

แม่เคยถามฉันว่า “ทนสายตาที่เขามองมาอย่างนั้นได้อย่างไร” ฉันเคยตอบแม่ว่า “ถ้าการอยู่บนโลกภายใต้ความคาดหวังหรือความพอใจของคนอื่นหรือต้องเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น ต้องคอยสนใจสายตาคนที่คนมองมาตลอดเวลา มันก็คือการตายทั้งๆ ที่ยังมีชีวิต หากต้องเสแสร้งหรือโกหกในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเพื่อให้คนอื่นพอใจ เราจะมีตัวตนที่เป็นเราจริงๆ ได้อย่างไร ทำไมเราต้องทำอะไรเพื่อให้คนอื่นพอใจ เขาคงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเรามากขึ้นนักหรอก แม้ว่าเราจะพยายามทำตัวเหมือนกับพวกเขาก็ตาม”

แม่ไม่เข้าใจฉันในวันนั้น เลยไม่คุยกับฉันอีกเลย

ฉันเคยคิดนะว่าแม่คงผิดหวังในสิ่งที่ฉันเป็น แต่ต้นตอของเรื่องที่แม่เลือกจะไม่คุยกับฉัน กลับไปอยู่ที่แม่แคร์คำพูดคนอื่น แม่อยากทำให้คนรอบข้างโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไปม็อบกับแม่พอใจมากกว่าที่จะทำให้คนอยู่บ้านเดียวกันสบายใจ อันที่จริงเรื่องม็อบมันก็จบไปนานแล้วล่ะ แต่แม่ยังไม่จบ แม่ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร แม่หยุดความคิดและการรับข้อมูลใหม่ๆ เอาไว้กับเวลาตอนที่มันเริ่มต้น แม่พูดซ้ำๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง โกง เผาบ้านเผาเมือง บุญคุณ เวรกรรม บารมี และความศักดิ์สิทธิ์

ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อยจนเผลอทำเค้กหล่นเปื้อนกระโปรงลายดอกลาเวนเดอร์ตัวโปรด ฉันหยิบเค้กชิ้นที่หล่นมาใส่ปากอย่างไม่ลังเล และลุกขึ้นไปหยิบกระดาษชำระมาทำความสะอาด ฉันเอาน้ำหยดลงไปบนรอยเปื้อน แล้วใช้กระดาษเช็ดถูคราบไปมา ฉันรู้สึกได้ถึงส่วนที่เป็นปมปัญหาของฉันกับแม่ มันเป็นสิ่งที่แม่บอกว่าฉันควรภูมิใจ มันเป็นบุญวาสนาที่ได้เกิดมาแล้วได้เจ้านี่ติดตัวมาด้วย

แต่สำหรับฉันมันเป็นเพียง… เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า

 

ฉันคงต้องรีบอาบน้ำและจัดเสื้อผ้าที่แม่ระบุเอาไว้ท้ายแผนที่ว่า “ชุดผู้ชาย” ใส่กระเป๋าเตรียมไว้ อันที่จริงฉันจะไม่ไปตามคำสั่งแม่ก็ได้นะ แต่ฉันอยากรู้มากกว่าว่าพรุ่งนี้แม่จะมีแผนการอะไรมาเล่นกับฉันอีก ตอนนี้เราแบ่งเขตกันชัดเจน ชั้นบนเป็นอาณาบริเวณของแม่ ชั้นล่างเป็นของฉัน มองไปรอบๆ บ้านก็มีเส้นแบ่งอยู่ทุกที่ เว้นแต่ในครัวที่เป็นพื้นที่เราใช้ร่วมกัน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่เป็นของแม่ ง่ายจะตายไป แม่ชอบใช้อะไรๆ ที่เป็นสีเหลือง วันนี้แม่คงตั้งใจ เลยจัดเค้กแคร์รอตใส่จานของแม่เอาไว้ให้ฉันกิน แล้วฉันก็นึกได้ว่าชุดที่แม่ระบุเอาไว้นั้น ฉันไม่มีเป็นของตัวเองนานแล้ว ถ้ามีก็น่าจะเป็นชุดที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามปีก่อน กางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นชุดนั้น แม่น่าจะยังเก็บมันเอาไว้ รอวันที่ฉันยอมใส่

ฉันไม่ได้ขึ้นมาบนนี้นานมากจนเกือบลืม แม่แขวนรูปคนที่รักและบูชาเอาไว้บนผนังมากมาย บางรูปมีพวงมาลัยคล้องอยู่ด้วย แม่มีนกหวีดอยู่หลายอันแขวนที่ผนังและระบุวันที่ได้มา ซึ่งฉันก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะแม่รักและภูมิใจมากที่ได้ของเหล่านี้มาพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ แต่ที่ฉันแปลกใจมากคือชุดของฉันมันอยู่ในถุงพลาสติกที่ปิดผนึกเอาไว้อย่างดีหน้าตุ๊กตาเด็กหัวจุกหลายตัวเลย นี่คงเป็นกุมารทองที่เพื่อนๆ แม่หามาให้เพื่อให้ฉันกลับเป็นผู้ชายล่ะมั้ง หรือไม่ก็คงเอามาเป็นเพื่อนเล่นกับฉัน ฉันเห็นมีตัวหนึ่งใส่แว่นตาดำด้วย แม่นี่ทันสมัยเสมอกับเรื่องอะไรแบบนี้ ฉันหยิบชุดเสร็จก็รีบลงมาจากชั้นบนอย่างเบาและเร็วที่สุด เพราะถ้าแม่ออกมาเห็น คืนนี้คงไม่ได้นอนเป็นแน่ และเพื่อนบ้านก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

ฉันรีบกลับลงมาที่ห้องแล้วฉีดน้ำหอมกลิ่นที่ฉันชอบลงไปบนชุดก่อนเอามันใส่กระเป๋าที่เตรียมไว้ ฉันนั่งนึกวิธีรับมือแม่ในวันพรุ่งนี้อยู่บนเตียงเพลินๆ ไม่ว่าแม่จะมาแผนไหน ฉันก็ต้องรับมือให้ได้เหมือนตอนที่พ่อแม่ทะเลาะกันเพียงเพราะใส่เสื้อกันคนละสี แล้วก็พาลเอาเรื่องส่วนตัวกับครอบครัวเข้าไปเกี่ยวด้วย

ฉันกลายเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าเพราะอุดมการณ์การเมืองแบบที่พวกเขาชอบทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ มันน่าแปลกที่ทั้งสองคนพูดถึงแต่ปัญหาแต่ไม่มีทางไปต่อ ทั้งคู่ต่างโทษอะไรก็ได้รอบตัวเท่าที่จะนึกออก แล้วก็เอามาอ้างใส่กัน

แม่ยังคงโทษฉัน เวรกรรม และพ่อ

 

ฉันหันไปยิ้มให้กับรูปของพ่อที่ป่านนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้ พ่อหายไปอย่างไม่มีข่าวคราว ฉันคิดเอาเองว่าเขาคงจะไม่อยากอยู่ที่นี่ ในบ้านนี้ไม่มีอะไรถูกใจเขาสักอย่าง พ่อเคยบอกแม่ว่าเขาจะกลับมา ถ้าแม่ “รู้จักเปิดหู เปิดตา และเปิดใจเสียบ้าง” เขาท้าทายแม่เอาไว้ก่อนจะไป ส่วนแม่ก็ด่าไล่หลังเขาว่า “ไอ้คนไม่รักชาติ ถูกเขาหลอกให้ไปตายแทน มึงออกไปเลย ออกไปจากบ้าน ออกไปจากประเทศนี้เลย ไอ้คนเสียชาติเกิด มึงไปช่วยคนชั่วให้มันโกงบ้านโกงเมือง ลูกมึงมันถึงได้วิปริตผิดเพศ”

คิดไปก็น่าขำสำหรับคนรุ่นฉันที่โตมาท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองเกือบ 15 ปี ความเห็นต่างในพื้นที่ประท้วงขยายวงลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการบ้าน แล้วก็งงจนต้องตั้งคำถามว่า “แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยกับเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองที่คุณทั้งสองคนเห็นไม่ตรงกัน ฉันก็เป็น อยู่ คือ แบบนี้ตั้งแต่เกิด แต่เธอไม่ยอมรับ ฉันเกิดมาจากเธอทั้งคู่นั่นแหละ แต่ไม่มีใครคิดจะรับผิดชอบ คนหนึ่งด่า อีกคนหนึ่งเลือกที่จะหนี”

หลังจากพ่อออกจากบ้านไป ฉันก็เรียนหนังสือและทำงานไปด้วย ส่วนแม่นอกจากทำงานก็หันไปเข้าวัด แต่น่าแปลกที่ฉันไม่เห็นว่าแม่จะจิตใจสงบหรือมีความสุขเลยสักนิด แม่เอาแต่ขนเครื่องรางที่เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์เข้าบ้าน จนชั้นสองแทบจะเป็นที่รวบรวมของขลังสำนักดังทั้งหลายเอาไว้จนครบ น่าตลกที่มีครั้งหนึ่งแม่เอาน้ำมนต์อะไรไม่รู้กลับมาบ้าน แม่บอกว่าผู้นำม็อบของแม่ปลุกเสกมาให้ แม่บังคับฉันดื่มมัน แต่ใครล่ะจะกล้า เพราะมีข่าวลือว่าเป็นน้ำผสมประจำเดือน แม่เที่ยวไปหาพระตามสำนักต่างๆ ทั้งทำนายทายทัก พยากรณ์ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีกรรมสารพัดทางไสยศาสตร์ที่ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่กิจของสงฆ์เลยสักนิด วันหนึ่งมีข่าวทางโทรทัศน์ว่าพระเจ้าพิธีของแม่รูปหนึ่งโดนจับสึกเพราะไปมีอะไรกับสีกาในกุฎิขณะลงนะหน้าทอง แต่แม่ก็แก้ต่างให้ว่า “ท่านช่วยเหลือคน พวกคนชั่วต้องกลั่นแกล้งท่านแน่ๆ”

ฉันเคยพูดกับแม่หลายครั้งว่าหลักธรรมเขามีแต่สอนให้ปล่อยวาง คิดแต่เรื่องดีๆ ละเว้นทำเรื่องชั่วๆ แล้วก็ค่อยๆ ฝึกละความอยากและควบคุมอารมณ์ แต่แม่ไม่ฟัง แม่มีแต่ความอยาก ยังคงฉุนเฉียว ถือตัวถือตนถือฤกษ์ถือโฉลกถือมงคลถือเสนียด จะทำอะไรก็เป็นภาระไปหมดเพราะหมอดูทำนายทายทักว่าควรทำเมื่อไหร่ ควรใส่สีไหน สิ่งใดห้ามทำ ฉันสงสารแม่ แม่ใส่เสื้อผ้าสีเดียวเป็นหลักแต่ก็ต้องแก้เคล็ดด้วยการเอาเศษผ้าสีต่างๆ มากลัดไว้ตามตัว วันนั้นวันนี้ห้ามทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ต้องไหว้นั่นไหว้นี่ตามแต่หมอดูบอก ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันได้ผลดีจริงหรือไม่อย่างไร เพราะแม่ติดอยู่กับคำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่รู้อย่าอวดดี”

เตรียมของพรุ่งนี้เสร็จแล้ว ฉันตั้งนาฬิกาปลุกไว้เช้าหน่อย ฉันควรออกจากบ้านก่อนที่แม่จะลงมาจากข้างบน การไปเจอกันที่วัดน่าจะดีกว่า ฉันคิดอะไรต่อมิอะไรเพลินๆ ก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีตอนเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ตั้งปลุกไว้ดังขึ้น ฉันรีบอาบน้ำ แต่งตัวสวย แต่งหน้าใสๆ แล้วรีบออกจากบ้านก่อนที่แม่จะลงมา แล้วก็ไม่ลืมที่จะเขียนข้อความติดไว้ที่ตู้เย็นว่า

“เจอกันที่วัดค่ะ ??”

 

ฉันมาถึงที่นัดหมายบริเวณลานกว้างๆ ข้างศาลา เพื่อนๆ แม่มากันหลายคนเลย พวกเขายืนรอรับฉันด้วยเสื้อสีเดียวกันทั้งกลุ่ม ฉันพอเดาได้ว่าวันนี้ต้องมีพิธีกรรมพิเศษอะไรแน่ๆ เพราะมากันเป็นม็อบย่อมๆ ขนาดนี้ ฉันเดินเข้าไปกลางกลุ่มยกมือไหว้ พวกเขาดูเหมือนตกใจจนไม่มีใครรับไหว้ฉัน พอเห็นฉัน พวกเขาก็จับกลุ่มหันไปซุบซิบกันทันทีซึ่งฉันก็พอเดาได้ว่าเรื่องอะไร เพื่อนๆ แม่แสดงท่าทีไม่พอใจที่ฉันไม่เหมือนเดิม ก็แน่ล่ะพอฉันมีหน้าอก ผมยาว แต่งหน้า แต่งตัวสวย พวกเขาก็ต้องขัดใจเป็นธรรมดา ฉันยืนให้พวกเขาดูอย่างเต็มตา จนเพื่อนแม่คนหนึ่งทักเสียงดังออกมาว่า “ลูกชายพี่วิ ชื่อวิทย์ใช่ไหม” ฉันเลยตอบให้หายข้องใจ “ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้เป็นลูกสาว ชื่อวิทนีย์” เขานิ่งอึ้งไปตามๆ กัน ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรต่อ แม่ก็เดินมาพร้อมกับพระสามรูป และชายอีกสองคนที่ช่วยกันหามโลงศพคลุมผ้าสีขาวสวยงามมาวางข้างๆ ฉัน

พระเจ้าพิธีตามมาพร้อมกับลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ มีขบวนแห่แหนล้อมหน้าล้อมหลังราวกับนักการเมืองตอนหาเสียงเลือกตั้งขาดแต่ป้ายกับเบอร์ ลูกศิษย์ก็คอยส่งเสียงดังตลอดทางว่า “ท่านเจ้าคุณมาโปรดแล้ว” เสียงคนที่ยืนสองข้างทางรอก็ดังขึ้นพร้อมกับนั่งย่อตัวลงว่า “สาธุ” ยกเว้นฉัน พระรูปนั้นเดินตรงมาถามแม่ว่า “ไอ้นี่ใช่ไหมลูกชาย” ฉันรีบตอบ “ไม่ใช่ค่ะ ลูกสาว” แม่ตอบด้วยเสียงสั่นเจือความอับอายว่า “นี่แหละค่ะลูกชายที่อยากพามาทำพิธี” ฉันถามสวนไปว่า “พิธีอะไรคะ” พระตอบว่า “ตายแล้วเกิดใหม่”

“ใครตาย ใครเกิดใหม่คะ” ฉันถาม พระตอบฉันว่า “เดี๋ยวจะทำให้ร่างผู้หญิงนี้ตายเหลือแต่ร่างผู้ชายเอาไว้จะได้หายเป็นกะเทย” ฉันหัวเราะเกือบจะทันทีจนพระบอกให้ฉันไปเปลี่ยนชุดที่เตรียมมา ฉันยอมทำตามเพราะอยากรู้ว่าปาหี่หลอกคนนี้จะจบอย่างไร ฉันเดินกลับมาพบว่ามีแท่นสูงตั้งโลงศพเอาไว้ด้านบน ส่วนด้านหน้ามีโต๊ะใหญ่วางเงินหลายปึกพร้อมด้วยเครื่องบูชาและสำรับอาหารที่มีแต่ของชอบฉันทั้งนั้น

แม่มองฉันอย่างแปลกใจและตกใจที่ยอมใส่ชุดของขวัญของแม่ ฉันยิ้มให้แม่จนแม่เผลอยิ้มให้ฉัน ฉันไม่เห็นรอยยิ้มหรือสายตาที่แม่มองฉันตรงๆ แบบนี้มานานมากแล้ว ผู้ช่วยพระเจ้าพิธีพาฉันลงไปนอนในโลงศพ แล้วเอาด้ายขาวมามัดข้อมือทั้งสองข้างไว้หลวมๆ และโยงไปให้พระจับ จากนั้นก็เริ่มสวดเหมือนกับที่เคยได้ยินเวลาไปงานศพ พอใกล้จบก็มีผ้าไตรมาพาดที่โลงสี่ผืนแล้วพระก็สวดบังสุกุล พระเจ้าพิธีเดินมาที่ตรงหัวโลงศพประพรมน้ำมนต์ลงมาที่ตัวฉัน เคาะโลงเสียงดังสนั่น แล้วเอาหม้อดินเขียนยันต์แปลกๆ มาวนๆ รอบหัวฉัน ปากก็พร่ำบ่นอะไรไม่รู้ แล้วก็เหมือนตักช้อนเอาอะไรขึ้นไปแล้วปิดด้วยผ้ายันต์ พร้อมพูดเสียงดังว่า “บัดนี้ผีร้ายที่มาสิงสู่ได้ออกไปแล้ว ผู้หญิงตาย ผู้ชายเกิดใหม่ แม่…มารับลูกชายของแม่ไปนะ”

ในเวลานั้นเอง มันคงเป็นปฏิกิริยาต่อต้านของฉัน ฉันกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่ว อาศัยวิชาโปรเจ็กต์เสียงและแอ็กติ้งที่ร่ำเรียนมาหลายปี บรรดาคนที่ล้อมวงดูพิธีอยู่นั้นถึงกับแตกตื่น จากที่นั่งหมอบอยู่ รีบลุกขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโลง ฉันดึงด้ายขาวที่ผูกมือออกแล้วลุกพรวดขึ้นมาเต้นยกขาแนบหูให้ทุกคนดูเป็นขวัญตา ฉันตะโกนขึ้นว่า “บัดนี้ร่างผู้ชายตาย กลายเป็นหญิงเต็มตัว ขอบคุณมากค่ะที่ให้ชีวิตใหม่” แล้วก็กระโดดออกจากโลงไปยืนบนโต๊ะพิธีด้านหน้า พลางฉวยผ้าที่ปูรองเครื่องบูชาที่อยู่หน้าโลง ห่อรวบเงินและของต่างๆ นำมาผูกไว้ที่เอวอย่างแน่นหนา ทิ้งชายผ้าลงมาให้เป็นกระโปรง แล้วหมุนรอบตัว

แม่ฉันตกใจมากจนเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้น เพื่อนๆ ของแม่กรูกันเข้าไปหิ้วปีกยกแม่ขึ้น บางคนก็เรียกเอายาดม บางคนก็สั่นทำอะไรไม่ถูก ส่วนพระเจ้าพิธีกับพวกคงตกใจมากกว่าใคร ฉันเห็นวิ่งจีวรปลิวกันไปคนละทิศละทาง บรรดาคณะแห่แหนก็แตกฮือกระจัดกระจาย กลายเป็นภาพโกลาหลที่แต่ละคนกระเจิดกระเจิงอย่างไร้สติ ฉันยืนหัวเราสะใจแบบนางร้ายในละครทีวีครู่หนึ่ง แล้วก็รีบลงมาดูแม่

ฉันกอดแม่ เขย่าตัวแม่เบาๆ ฉันบอกแม่ว่า “แม่ขา หนูเกิดใหม่ในร่างนี้แล้ว ตอนนี้เป็นลูกสาวแม่เต็มตัวแล้วนะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ ทุกอย่างแม่ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรมเถอะนะคะ” เพื่อนๆ ของแม่พากันรุมด่าและสาปแช่งฉันต่างๆ นานา แต่เหมือนฉันจะไม่ได้ยินคำพูดของคนพวกนั้นเลย นั่นเพราะมันคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับฉัน

ฉันอุ้มแม่ขึ้นรถ แม่น้ำตาไหลตลอดเวลาแต่ไม่พูดกับฉันสักคำจนถึงบ้าน

 

เรื่องมันผ่านมาจะห้าปีแล้ว วันนี้ฉันจูงมือแม่นั่งที่โซฟาเพื่อรอหลวงตาวัดแถวบ้านมารับบิณฑบาต ฉันหันไปมองรูปแม่กับฉันตอนเป็นลูกชายวางคู่อยู่กับรูปฉันที่เป็นลูกสาวกับแม่ในตอนนี้ที่โต๊ะหน้าประตูบ้าน ฉันหันไปยิ้มให้แม่ที่ใส่เสื้อสีบานเย็น หลังเห็นความจริงของบ้านเมืองในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม่เก็บของที่ชั้นบนจนบ้านโล่ง บางส่วนทิ้ง บางส่วนเข้าตู้ บางส่วนเอามาแต่งบ้าน บางส่วนยกให้คนอื่น

“พระมาแล้ว” แม่บอกฉัน เราพากันออกมาหน้าบ้าน “นิมนต์ค่ะ” สิ้นเสียงฉัน หลวงตาก็เปิดบาตรออกรับข้าวจากแม่ ส่วนกับข้าวหรือของอื่นที่ใส่ถุง หลวงตารับไว้บนฝาบาตร มีคนตามหลวงตาหยิบไปใส่ถังในรถเข็นอีกที

เสียงคุ้นหูพูดกับแม่ที่นั่งก้มรับพรว่า “ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมีลูกชายที่น่ารัก ใครจะคิดว่าพอแก่ตัวลงจะมีลูกสาวที่น่ารักยิ่งกว่า”

แม่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับน้ำตา ส่วนฉันพูดออกมาเบาๆ ว่า “พ่อ”

พ่อและแม่ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากยิ้มให้กันเหมือนที่ฉันเคยเห็นเมื่อตอนยังเด็ก •