รอยทรงจำเดือนพฤษภาฯ / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : รัชศักดิ์ จิรวัฒน์

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

รัชศักดิ์ จิรวัฒน์

 

รอยทรงจำเดือนพฤษภาฯ

 

1

ทุกปีเมื่อเดือนพฤษภาคมเวียนมา ภาพอดีตรางๆ มักกลายเป็นลมหวนที่พัดคืนกลับให้วูบหนาวทุกคราวที่นึกถึง พฤษภาคมเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยหมุดหมายเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ทั้งการล้อมปราบสังหารประชาชนกลางกรุงที่ทิ้งคราบน้ำตาและรอยแผลในใจคนจำนวนมาก หรือการยึดอำนาจของคณะทหารที่เหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาและเวลาชีวิตของผู้คนต่อเนื่องยาวนานหลายปี ภาพอดีตเหลื่อมซ้อนภาพปัจจุบันเกือบสนิทแน่นจนไม่กล้าจินตนาการถึงอนาคต

แต่พฤษภาคมของผมมักมีภาพอดีตของพ่อเมื่อสามสิบปีก่อนเวียนกลับมาเสมอ เป็นภาพอดีตเลือนราง ทว่า ไม่เคยสูญไปจากความทรงจำ

 

2

คลับคล้ายคลับคลาว่าเช้าวันนั้นแม่บอกผมกับพี่สาวว่าไม่ต้องไปโรงเรียน แม้ดีใจแต่ยังสงสัยในเหตุผล และเมื่อเห็นข่าวจากโทรทัศน์ที่แม่เปิดทิ้งไว้ สิ่งต่างๆ ก็เริ่มกระจ่างชัด แม้มีอีกหลายอย่างยังคลุมเครือ ความสับสนอลหม่าน กลุ่มควันดำ เปลวเพลิงที่ลุกโชน รถเมล์ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม และประชาชนที่ทั้งหวาดผวาและท้าทาย ทั้งหมดเป็นภาพเคลื่อนไหววูบวับไปมาบนหน้าจอโทรทัศน์ของเช้าวันนั้น-เช้าวันจันทร์ที่ผมและพี่สาวไม่ต้องไปโรงเรียน และเป็นวันที่บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง รวมถึงครอบครัวเราด้วย

หากจำไม่ผิดช่วงสายของเมื่อวานน่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบพ่อ พ่อ-ในวัยสี่สิบต้นๆ มีหน้าท้องเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับลงพุง ผมหงอกยังไม่มาก หนวดเคราหร็อมแหร็มประดับใบหน้ารูปไข่ ไฝใต้ริมฝีปากด้านขวาโดดเด่นสะดุดตา และมีแว่นสายตากรอบใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งหน้า-เดินออกจากบ้านพร้อมย่ามคู่ใจบนไหล่ขวา ในนั้นมีหนังสือพิมพ์สองฉบับ หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กหนึ่งเล่ม สมุดโน้ต ปากกาปาร์กเกอร์ที่พ่อมักพกติดตัวเสมอ และที่ขาดไม่ได้คือกรองทิพย์หนึ่งซองพร้อมไฟแช็ก ผมจำได้ไม่ชัดว่าพ่อใส่เสื้อผ้าแบบไหน อาจเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายทางและกางเกงยีนส์ลีวายส์ตัวเก่ง สายตาของแม่มีแววกังวลขณะส่งยิ้มให้พ่อที่หน้าประตูบ้าน ถึงแม้ช่วงหลังทั้งคู่จะมีปากเสียงกันบ่อยขึ้นและเริ่มหมางเมินกันไปบ้าง แต่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้นก็ช่วยยืนยันว่าสายใยแห่งความห่วงหาอาทรยังไม่ถูกถอนรากถอนโคนเสียทีเดียว วันนั้นผมไม่ได้ถามว่าพ่อไปไหน จะว่าไปผมแทบไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ จำได้เพียงรางๆ ว่าวันก่อนได้ยินพ่อเอ่ยลอยๆ ว่าอยากไปช่วย ‘มหาจำลอง’ ขับไล่เผด็จการ

ในตอนนั้น เผด็จการเป็นคำที่ฟังดูแปลกแปร่ง แต่มันถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้งทั้งจากโทรทัศน์และผู้คนรอบข้างจนผมเริ่มคุ้นชิน ยิ่งออกมาจากปากของพ่อ คำคำนี้ยิ่งน่าพรั่นพรึงและไม่เป็นมิตร คล้ายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ปนเปื้อนมากับน้ำและอากาศ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายและค่อยๆ กัดกินอวัยวะต่างๆ ทีละนิดโดยที่เจ้าของร่างกายไม่รู้ตัว

ตอนแรกผมคิดว่าพ่อจะกลับบ้านเย็นวันนั้น แต่ผ่านไปสองวันก็ยังไม่เห็นวี่แวว กระทั่งเช้าวันที่สาม แม่ตัดสินใจออกตามหาพ่อโดยมีเพื่อนสนิทของแม่ช่วยขับรถพาไป แม่ตระเวนไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่มีผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมถูกส่งไปรักษา พยายามถามไถ่หมอและพยาบาล กวาดสายตาไปตามเตียงคนไข้ เสาะหาว่าพ่ออาจนอนเจ็บอยู่เตียงใดเตียงหนึ่ง รวมทั้งตรวจสอบรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากประกาศที่ติดไว้บนบอร์ดแจ้งข่าวสาร แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรที่เกี่ยวข้องกับพ่อเลย แม่กลับบ้านพร้อมความเหนื่อยล้าและผิดหวัง พูดคุยกับผมและพี่สาวเพียงสองสามคำแล้วก็นั่งเหม่อมองไปที่ประตูบ้านเนิ่นนานจนพี่สาวต้องสะกิดเรียกให้มากินข้าวจึงยอมลุกออกมา

ทั้งสัปดาห์นั้นความเงียบชวนอึดอัดลอยวนแทรกซึมอยู่แทบทุกอณูของบ้านจนผมสัมผัสได้ บางครั้งผมนึกอยากเปิดเพลงให้ดังลั่นบ้านเพื่อขับไล่ความเงียบงันแสนหดหู่นั้นออกไป พี่สาวดูหวาดวิตก ขณะที่แม่เริ่มนิ่งสงบมากขึ้นราวกับทำใจยอมรับได้หากสิ่งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับพ่อ ใจหนึ่งผมรู้สึกปลอดโปร่งที่ไม่มีพ่อมายุ่มย่ามบงการชีวิตอย่างเคย แต่อีกใจก็หวิวสั่นกลัวความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ก่อเกิดเป็นสภาวะแปลกแปร่งกึ่งดีกึ่งร้ายผลุบๆ โผล่ๆ ในจิตใจผมตลอดช่วงเวลานั้น

ที่ผ่านมาผมกับพ่อเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่อาจผสานเป็นเนื้อเดียว ผมเป็นลูกชายที่อึดอัดกับการเดินตามเส้นทางที่พ่อมุ่งหวัง ต่างจากพี่สาวที่ได้ดังใจ ผลการเรียนของเธอดีเด่น ว่านอนสอนง่าย ไม่ย้อนไม่เถียงพ่ออย่างที่ผมทำบ่อยๆ ผลการเรียนของผมดีพอใช้ แต่ยังใช้ไม่ได้ในสายตาพ่อ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่อ่อนปวกเปียกและเป็นวิชาสำคัญที่ทำให้สามารถเรียนสายวิทย์-คณิตได้ในชั้นมัธยมปลาย แล้วใครบอกว่าผมอยากเรียนสายวิทย์-คณิตกันเล่า ถ้าไม่ใช่พ่อที่ขีดเส้นทางให้ผมตามอำเภอใจ ปรารถนาให้เรียนสายวิทย์-คณิตเหมือนพ่อเพื่อสามารถสอบเข้าคณะดีๆ คะแนนสูงๆ ได้ ทั้งที่ผมย่อมรู้จักตัวเองดีกว่าพ่อเป็นไหนๆ รู้ว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไร ผมมีทักษะทางภาษาและศิลปะ แต่การวาดรูปสำหรับพ่อเป็นได้เพียงงานอดิเรก ไม่ใช่ศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่วิชาหลักที่ต้องร่ำเรียนอย่างจริงจัง หลายครั้งผมรู้สึกเกลียดความเป็นจอมบงการของพ่อจนอยากหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากสูดกลิ่นเสรีภาพให้ชุ่มปอดและโผบินไปเพื่อคว้าความฝัน พ่อเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ผมทะยานสู่ผืนฟ้ากว้าง แต่เมื่อถึงวันที่ไม่มีพ่ออยู่จริงๆ ผมกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา

แม่ติดตามข่าวสารทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์อย่างจดจ่อและบอกผมกับพี่สาวว่าอีกไม่นานพ่อน่าจะกลับ แต่ผมรู้ดีว่าแม่พูดไปอย่างนั้นเอง ผมไม่ได้สิ้นไร้ปัญญาจนกระทั่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง ได้เห็นได้ฟังข่าว ได้ยินผู้คนจับกลุ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ในร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน ได้ยินบทสนทนาในวันที่เพื่อนๆ อาจารย์ในคณะและลูกศิษย์ของพ่อหลายคนมาหาแม่ที่บ้าน พูดคุยถึงการหายตัวไปของพ่อและความเป็นไปได้ที่พ่ออาจกลายเป็นหนึ่งในวีรชนผู้สละชีวิตต่อต้านเผด็จการในวันนั้น

ร่างพ่อนอนจมกองเลือดปรากฏเป็นภาพชัดเจนในความคิดทันทีที่ได้ยินสมมุติฐานนั้น ผมจินตนาการไปถึงวินาทีที่กระสุนปืนวิ่งทะลุร่างและไฟชีวิตของพ่อดับวูบลงโดยไม่ทันได้สูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ความหนาวสะท้านแล่นพล่านทั่วร่างเมื่อจินตภาพในหัวผมแจ่มชัดและสมจริงเกินไป ยิ่งพยายามสลัดภาพนั้นให้หลุด มันกลับยิ่งลงรากฝังลึกในใจกลางความคิดอย่างแข็งแรงราวกับมันได้สถาปนาตัวเองเป็นความจริงแท้โดยสมบูรณ์

เหตุการณ์ทมิฬโหดนั้นล่วงไปเกือบครึ่งปี ทั้งแม่ ญาติพี่น้องและทุกคนที่รู้จักพ่อต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าพ่อคงเสียชีวิตไปแล้วและกลายเป็นวีรชนผู้สูญหายเหมือนอีกหลายคนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่หลงเหลือแม้ศพเพื่อทำพิธีทางศาสนา การสืบค้นตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปอย่างเชื่องช้าและไร้ความคืบหน้า ยิ่งเวลาผันผ่าน ทุกอย่างยิ่งเลือนรางและคล้ายถูกลืมเลือน แม่เซื่องซึมอยู่หลายเดือนแต่ก็แข็งแกร่งพอจะลุกขึ้นยืนเพื่อประคองครอบครัวต่อไป

แม่ออกจากบ้านแต่เช้า นั่งรถเมล์ไปทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองและกลับถึงบ้านตอนค่ำๆ ส่วนสุดสัปดาห์แม่มักเอางานมานั่งทำที่บ้านอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วพักผ่อนสมองด้วยการดูแลสวนครัวและต้นไม้ที่ปลูกไว้ในสวนเล็กๆ ข้างบ้าน บางวันครึ้มอกครึ้มใจก็พาผมกับพี่สาวออกไปกินอาหารนอกบ้านเป็นครั้งคราว

ผมกับพี่สาวไปโรงเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ พี่สาวคร่ำเคร่งกับการเล่าเรียนอย่างที่เธอเป็นมาตลอด ที่สำคัญปีถัดมาเธอต้องสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงยิ่งหมกมุ่นกับตำรากองใหญ่และชีตแนวข้อสอบ พร้อมเสริมความมั่นใจด้วยการเรียนกวดวิชาช่วงเย็นหลังเลิกเรียนทุกวัน

ส่วนผมก็เรียนในระดับพอเอาตัวรอดได้ ไม่ย่ำแย่แต่ไม่ยอดเยี่ยม หลังเลิกเรียนก็เตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ วันว่างก็อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นและฝึกวาดรูปตามแบบตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบ ทุกอย่างดูเป็นปกติเรียบร้อยและดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ทว่า เบื้องลึกแล้วผมรู้ดีว่าบาดแผลและความทุกข์โศกยังกรุ่นๆ อยู่ข้างในจิตใจของทุกคน

และเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกที่ผมมีต่อพ่อก็เริ่มเปลี่ยน ผมชื่นชมและเคารพพ่อมากขึ้น ยกย่องในความกล้าหาญของพ่อที่ยืนหยัดท้าทายคมกระสุนและต่อสู้เพื่อสิ่งที่พ่อเชื่อ ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าพ่ออาจยังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ยังไม่พบศพ ความเป็นไปได้ก็ไม่ใช่ศูนย์เสียทีเดียว บางทีพ่ออาจได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียความทรงจำ หลงลืมลูกเมียหรือกระทั่งไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ผมถูกแม่ผลักหัวทิ่มเมื่อเล่าสมมุติฐานนี้ให้ฟัง เอามาจากการ์ตูนเรื่องไหนล่ะเนี่ย แม่ถามทีเล่นทีจริงแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

เมื่อเติบใหญ่และวันเวลาล่วงผ่านมาถึงยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ผมลองเข้าไปค้นหาข้อมูลของเหตุการณ์นองเลือดวันนั้นในอินเตอร์เน็ต อ่านเรื่องราวและลำดับเหตุการณ์ต่างๆ และนั่นทำให้ผมระลึกได้ว่าวันสุดท้ายที่เจอพ่อคือวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม บางเว็บไซต์มีรูปภาพและวิดีโอสารคดีบันทึกเรื่องราวในวันนั้น รูปภาพเก่าๆ ที่ซีดจางเหล่านั้นกลับทำให้ความทรงจำของผมคมชัดขึ้น ผมเห็นภาพผู้คนนับหมื่นชุมนุมประท้วงบนถนนราชดำเนิน บางคนโบกธงชาติ บางคนขึ้นไปยืนบนหลังคารถเมล์ หลายภาพเป็นรูปเหล่าทหารพร้อมปืนในมือยืนเรียงหน้ากระดานโดยมีฉากหลังเป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถูกบดบังด้วยกลุ่มควันจนเห็นเป็นเค้าโครงจางๆ เมื่อเปิดดูคลิปวิดีโอสารคดีก็เห็นภาพเดิมๆ นั้น เพียงแต่มันเคลื่อนไหวราวกับคืนวันเหล่านั้นกลับมาดำรงอยู่ในปัจจุบันอีกครั้ง แม้รู้แก่ใจดีว่าคือการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ผมก็พยายามมองหาพ่อในรูปภาพและวิดีโอเหล่านั้น บางทีทึกทักไปเองว่าคนที่อยู่ไกลๆ ในภาพคือพ่อ เสร็จแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเองในใจที่เพ้อพกไปได้ขนาดนั้น และอีกหลายครั้งที่จินตภาพในอดีตสอดแทรกเข้ามาในความคิด เป็นภาพของพ่อนอนจมกองเลือดจากกระสุนไร้ที่มา

ตอนนี้มโนภาพนั้นได้สถาปนาตัวเองเป็นความจริงแท้ในหัวของผมแล้ว

 

3

หญิงสาวคนนั้นอายุน้อยกว่าเขาเกือบสิบห้าปี เธอเป็นอดีตลูกศิษย์ที่เคยร่ำเรียนกับเขา สนิทสนมพูดคุยกันถูกคอตั้งแต่สมัยเรียนและยังติดต่อกันเรื่อยมาแม้เรียนจบไปแล้ว หลายครั้งเธอแวะมาเยี่ยมเขาที่คณะ ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาฝาก สนทนาเรื่องสัพเพเหระและออกไปทานมื้อกลางวันด้วยกัน บางคราวที่ไม่สะดวกแวะมาหา เธอจะโทรศัพท์มาที่คณะเพื่อพูดคุยสอบถามทุกข์สุขอยู่นานสองนาน แน่นอนว่าจิตใจเขาเริ่มหวั่นไหวกับอดีตลูกศิษย์สาวคนนี้ เธอสวยหวานและอ่อนโยน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แววตาสุกสกาว และเมื่อเธอยิ้ม แม้แต่บุรุษที่จิตใจหยาบกร้านที่สุดก็จำต้องหลอมละลายศิโรราบ

ความผูกพันก่อเกิดและขยายขนาดมากขึ้นตามวันเวลาที่เคลื่อนผ่าน หญิงสาวเองแม้รู้สึกผิดแต่ก็ไม่อาจระงับจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก ใช่ เธอรักเขาเข้าแล้ว เขา-ชายวัยสี่สิบต้นๆ ที่มีภรรยาและลูกวัยรุ่นอีกสองคน เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนอบอุ่น เข้าอกเข้าใจตัวตนและความรู้สึกของเธอดีกว่าผู้ชายคนใดที่เธอเคยรู้จัก เขาเติมเต็มสิ่งที่เธอขาดหายและช่วยนำทางในวันที่เธออ่อนล้าสับสน เขาเองก็เหมือนยินยอมให้ความปรารถนาส่วนลึกชักจูงสู่ความสัมพันธ์ต้องห้ามนี้แต่โดยดี ทั้งสองนัดพบกันบ่อยขึ้น ใกล้ชิดผูกพันกันมากขึ้นจนถึงขั้นวางแผนใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต

เธอเคยเปรยกับเขาถึงปัญหาในองค์กรที่ทำงานอยู่ เธอปวดหัวกับความวุ่นวายต่างๆ รวมทั้งเรื่องการเมืองภายในที่ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานในภาพรวม เธอกำลังจะลาออกและกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของเธอ ความรู้และประสบการณ์การทำงานของเธออาจนำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยพัฒนาธุรกิจรีสอร์ตของครอบครัวเธอได้ อย่างน้อยน่าจะเป็นประโยชน์กว่าสิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้ เขาแบ่งรับแบ่งสู้กับการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ หากเธอกลับไปอยู่บ้านเกิดจริง โอกาสได้พบหน้ากันคงน้อยกว่าเดิม

ทว่า กลับเป็นหญิงสาวที่เป็นฝ่ายออกปากชวนเขาให้ไปอยู่ด้วยกัน

 

4

บ้านเมืองกำลังคุกรุ่นทั้งจากมวลอากาศร้อนอ้าวและการชุมนุมประท้วงอันร้อนแรงที่เริ่มแผ่ลามขยายวงออกไป ประชาชนที่รวมตัวกันขับไล่ ‘บิ๊กสุ’ ยิ่งหนาแน่นและดุดันมากขึ้นเช่นกัน เขาติดตามสถานการณ์อย่างจดจ่อทั้งทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เพื่อนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก็นัดกันไปชุมนุมที่สนามหลวง เขายังละล้าละลังว่าควรไปตามคำชวนของเพื่อนๆ หรือไม่ เขาลังเลสับสนเช่นเดียวกับเรื่องหัวใจที่ยังลังเลว่าจะอยู่กับภรรยาต่อไปหรือควรไปตั้งต้นชีวิตใหม่กับหญิงสาวคนนั้น ความรัก ความลุ่มหลงที่มีต่ออดีตลูกศิษย์สาวนั้นอัดแน่นทวีคูณในจิตใจจนใกล้ปริแตก หัวใจของเขาโหยหา ร่ำร้อง กระวนกระวายคล้ายครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่ริมีความรักครั้งแรก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำทุกอย่างตามใจต้องการโดยไม่คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างหลัง และเช่นกันหากคิดถึงแต่คนอื่นมากไปก็เท่ากับไม่ยอมฟังเสียงหัวใจตัวเอง

เวลานั้นเขายังไม่ยอมตัดสินใจเรื่องความรัก แต่ตัดสินใจไปร่วมชุมนุมกับเพื่อนๆ

เขาเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามหลวง แต่เมื่อใกล้ถึงก็พบว่าเจ้าหน้าที่ปิดถนนที่มุ่งสู่สนามหลวง คนขับจึงลัดเลาะหาทาง อ้อมไปเส้นอื่นแล้ววกเข้าศาลหลักเมืองมาสนามหลวง เมื่อลงจากแท็กซี่ เขายืนมองบรรยากาศบริเวณนั้นอย่างชั่งใจ ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่มา ผู้คนเหลือคณานับแน่นขนัดและเต็มไปด้วยความฮึกเหิมกราดเกรี้ยว บ้างโบกธงชาติ บ้างชูป้ายที่มีข้อความขับไล่ไสส่งผู้นำประเทศที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน และทุกคนล้วนพร้อมใจเปล่งเสียงตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระหึ่มทั่วบริเวณ ‘เหี้ยสุ…ออกไป เหี้ยสุ…ออกไป’ มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศเหนือของท้องสนามหลวง ฉากหลังของเวทีมีตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนว่า ‘สมาพันธ์ประชาธิปไตย’ และบรรทัดถัดมาเขียนว่า ‘สุจินดาออกไป ประชาธิปไตยคืนมา’ บนเวทีมีแกนนำถือไมโครโฟนพูดปลุกเร้าผู้ชุมนุมให้คึกคักและมีพลังใจ

เขาเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณนั้น สอดส่ายสายตามองหาเพื่อนๆ ที่นัดหมายเอาไว้ แต่เป็นไปได้ยากที่จะเจอท่ามกลางคลื่นคนมหาศาลเช่นนี้ ขณะที่รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโห่ร้อง เอะอะโวยวาย แต่เขาแอบได้ยินเสียงชายสองสามคนคุยกันอยู่ข้างหลัง พวกเขาคุยกันเบาๆ ทว่า ดังพอจับใจความได้

“ได้ข่าวว่ามันจะปราบแน่” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น

“เออ รู้มาเหมือนกัน” อีกคนเสริม “เห็นว่าเตรียมกำลังไว้พร้อมแล้ว ไม่น่าเกินค่ำนี้…”

“แล้วจะเอายังไงกันดี จะกลับหรือจะอยู่” ชายอีกคนถาม

“นั่นสิ…ผมชักเป็นห่วงลูกเมียซะแล้ว ถ้าผมเป็นอะไรไป จะทำยังไง”

“ไม่รู้ล่ะ แต่ผมจะอยู่ ต้องไล่ทรราชพวกนี้ออกไปให้ได้”

เขาหนาววูบถึงสันหลัง หัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ จมูกคล้ายได้กลิ่นความตายโชยมาพร้อมลมร้อนที่พัดผ่าน นาทีนั้นใบหน้าหญิงสาวคนนั้นพลันปรากฏชัดในห้วงคิดคำนึง ความกลัวเริ่มคืบคลานเกาะกุมจิตใจ เขากลัวว่าจะไม่ได้พบเธออีกหากต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

โมงยามนั้นเขาตัดสินใจได้แล้วว่าควรเลือกเส้นทางใดให้กับชีวิตภายภาคหน้า เขารู้ซึ้งแล้วว่าต้องการสิ่งใดในชีวิต

 

5

เขาฝังตัวอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของหญิงสาวตั้งแต่หัวค่ำของวันนั้นยันเช้าตรู่

เขามาหาเธอในตอนค่ำ บอกถึงการตัดสินใจของเขาครั้งนี้ เธอยิ้มยินดีก่อนสวมกอดเขาแน่นและนานราวกับไม่ได้พบเจอกันมาหลายปี แต่ทั้งคืนนั้น เขากลับข่มตาหลับไม่ลง ลุกๆ นั่งๆ อย่างร้อนรน ออกไปจุดบุหรี่สูบที่ระเบียงครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใจว้าวุ่นกระสับกระส่ายคล้ายถูกโบยตีด้วยความรู้สึกผิดตลอดเวลา เขาควรบอกภรรยาว่ายังไง แล้วกับลูกๆ เล่า จะอธิบายยังไงให้ลูกๆ เข้าใจและยอมรับได้ ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น เขาไม่เคยรู้สึกขลาดเขลาและอ่อนแอแบบนี้มาก่อนในชีวิต

จนรุ่งเช้า เขายังตาสว่าง จิตใจขมุกขมัวด้วยความหวาดวิตก เขาลุกไปเปิดโทรทัศน์เพื่อดูข่าวสารการชุมนุมประท้วง เหตุการณ์ที่ปรากฏบนจอทำให้เขาแน่นหน้าอก ร้อนๆ หนาวๆ เหมือนคนเป็นไข้

ความรุนแรงปะทุขึ้นเหมือนที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ตำรวจและทหารได้รับคำสั่งให้สลายการชุมนุม ผู้คนล้มลุกคลุกคลาน บางรายมีเลือดไหลชโลมเต็มศีรษะและร่างกาย เสียงตะโกนด่าทอเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ ความสับสนอลหม่าน กลุ่มควันดำ เปลวเพลิงที่ลุกโชน รถเมล์ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม และประชาชนที่ทั้งหวาดผวาและท้าทาย ทั้งหมดเป็นภาพเคลื่อนไหววูบวับไปมาบนหน้าจอโทรทัศน์ของเช้าวันนั้น

เขาหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็โล่งอกที่ตัดสินใจออกจากที่ชุมนุมได้ทันท่วงที นึกจะโทรศัพท์กลับไปบ้านเพื่อส่งข่าวให้ทุกคนรู้ว่าเขาปลอดภัยดี แต่ก็ยั้งใจไว้ทัน และแล้วก้อนความคิดบางอย่างก็เผยตัวออกมาฉับพลันโดยไม่ยอมให้เขาได้ตั้งตัว

เขาค้นพบหนทางปลดเปลื้องตัวเองออกจากอดีตเพื่อมุ่งสู่เส้นทางใหม่ของชีวิตในนาทีนั้น

 

6

เมื่อหวนกลับมามองบ้านเมืองปัจจุบัน แม้บริบทและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะแตกต่าง แต่อำนาจซึ่งอยู่ในกำมือคนส่วนน้อยที่คอยกดปราบผู้เห็นต่างก็ยังดำรงอยู่ แม้ผ่านมาสามสิบปีแล้วตั้งแต่วันที่พ่อหายไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นและกลายเป็นวีรบุรุษที่ผมชื่นชมยกย่องมาตลอด แต่เงื้อมเงาเผด็จการยังไม่เคยห่างหายไปจากสังคมโดยง่าย มันยังคงคืบคลานทวนกระแสกาลเวลาเข้าครอบงำและพรากความฝันของผู้คนในบ้านเมืองนี้ต่อไป

ผมแน่ใจว่าหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ พ่อต้องไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการที่สืบทอดอำนาจมาจากการรัฐประหารเป็นแน่ ผมยังจดจำสีหน้าและแววตาของพ่อในวันสุดท้ายก่อนออกไปร่วมชุมนุมได้ดี พ่อผู้ยืนหยัดต่อต้านเผด็จการจนลมหายใจสุดท้าย

ผมคงไม่มีวันหาญกล้าได้อย่างพ่อเป็นแน่ •