บางอย่างในความรักของเรา (15) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (15)

 

ผมวางหูโทรศัพท์ นิ่งเงียบในความรู้สึก มีบางอย่างอุบัติขึ้นในความรักของเรา เป็นบางอย่างที่แน่แท้ว่ามันเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปิ่น แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงลางสังหรณ์ส่วนตน แต่ผมแน่ใจว่านี่เป็นลางสังหรณ์ที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

ในขณะที่ผมวิ่งวุ่นและหมกมุ่นกับตนเอง ปิ่นกำลังเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่โดยที่เธอไม่อาจปรึกษาหรือระบายความรู้สึกกับใครได้เลย ในขณะที่ผมตั้งใจที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายในความสัมพันธ์เพื่อนำปิ่นกลับเข้ามาในชีวิต ใครบางคนที่มีความสำคัญกับปิ่นมากที่สุดก็เดินออกจากชีวิตของเธอไปตลอดกาล

ผมช่างเป็นคนบ้าใบ้และเห็นแก่ตัว

ผมช่างเป็นคนที่หลงอยู่แต่ในโลกของตนเองอย่างแท้เทียว

 

ผมไม่อาจรู้ได้ว่าแม่ของปิ่นจากปิ่นไปตั้งแต่วันใด หากแต่ในวันนี้ผมยังสามารถไปร่วมงานพิธีกรรมที่ครอบครัวของปิ่นจัดขึ้นได้ แน่ล่ะ ในการทำเช่นนั้นผมต้องเผชิญหน้ากับพ่อของปิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำหยามเหยียดของเขาที่มีเจตนาชัดแจ้งที่จะผลักไสผมออกจากวงโคจรของปิ่นยังคงกึกก้องและดังแช่มชัดอยู่ในหูของผม

แต่ ณ เวลานี้ มันกลับไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรอีกต่อไป สำหรับผมแล้ว คำพูดเหล่านั้น การเหยียดเย้ยเหล่านั้นกลับเป็นพลังให้ผมอยากเผชิญหน้าเขาเสียแต่โดยเร็ว ไม่มีอะไรที่ควรทำให้กับคนที่เรารักมากไปเสียกว่าการได้ยืนเคียงข้างเขาในวันที่เขาไม่มีใคร

และในวันนี้ ณ เวลานี้ ผมเชื่อว่าปิ่นต้องการผมอย่างเป็นที่สุด

ผมเดินออกจากตู้โทรศัพท์ ไต่ไปตามเส้นทางเล็กๆ ในตรอกแห่งนั้นจนถึงบ้านเช่าของตน ผมเข้าไปในห้องส่วนตัว หยิบเสื้อผ้าสีสุภาพมาเตรียมไว้ก่อนจะไปทำความสะอาดร่างกาย ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผมและโกนหนวดเคราของตนจนเกลี้ยงเกลา ผมแต่งตัวออกจากบ้านในยามเย็นด้วยสภาพที่ใหม่เอี่ยมหมดจด

ผมต้องการให้ปิ่นได้พบผมในสภาพที่เธอรู้ได้ทันทีว่าผมเตรียมตัวมาอย่างดี

ผมเดินออกไปที่ถนน เรียกรถรับจ้างคันแรกที่ผ่านมา บอกปลายทางที่เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง เมื่อขึ้นนั่งภายในรถรับจ้าง ผมหมุนนาฬิกาข้อมือไปมาเพื่อตรวจสอบเวลา ผมน่าจะไปทันพิธีสวดสำหรับผู้วายชนม์ ซึ่งในที่นี้คือแม่ของปิ่น

ผมเตรียมร่างถ้อยคำที่จะพูดกับปิ่นไว้ในห้วงคำนึง

ผมเตรียมร่างถ้อยคำที่จะชี้แจงเหตุผลต่อพ่อของปิ่นว่าเพราะเหตุใดผมจึงทำตามในสิ่งที่เขาร้องขอไม่ได้

ผมเตรียมหลายสิ่งในหัว ทบทวนมันสองหรือสามรอบจนขึ้นใจก่อนที่อีกไม่กี่นาทีต่อมา

รถรับจ้างคันดังกล่าวจะจอดลงที่หน้าประตูวัดพร้อมกับความมืดที่ทำหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรงในทุกวัน

 

ประตูทางเข้าของวัดมีขนาดใหญ่และมีระยะกว้าง แต่ในวันนั้นผมรู้สึกคล้ายดังมันมีขนาดเล็กลง ผู้คนจำนวนมากแออัดอยู่ในลานหน้าศาลา ทุกคนอยู่ในชุดสีขาวและดำ ไม่ต้องไถ่ถามให้มากความ ผมแน่ใจว่าพวกเขามาร่วมงานศพแม่ของปิ่น สาเหตุเพราะว่าพวกเขาดูเป็นผู้คนที่อยู่ต่างชนชั้นจากผม

ผู้หญิงแม้จะใส่กระโปรง ผ้าซิ่น หรือแม้แต่กางเกงในชุดไว้อาลัย แต่เครื่องประดับบนตัวของพวกเขาก็ประกาศความหรูหราจนรู้สึกได้

ในขณะที่ผู้ชายอยู่ในชุดสีขาวดำ ซึ่งหมายถึงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำ พวกเขายังผูกเน็กไท ใส่เสื้อสูท และบางคนที่มีอาวุโสได้ติดแขนทุกข์ไว้กับแขนเสื้อด้วยซ้ำไป

พวกเขาช่างแลดูเป็นผู้คนที่ต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง

คำพูดและบทสนทนาจากปากของพ่อปิ่นในกาลก่อน ลอยล่องกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง

“เธอน่ะไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวของฉันเลย ในสายตาของฉันนอกเหนือจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเขาแล้ว เธอไม่มีอะไรที่จะร่วมชั้นกับปิ่นได้เลย”

ถ้อยความสั้นๆ ถ้อยความนี้เคยถูกผมปฏิเสธ ไม่ยอมรับและแลเห็นว่ามันเป็นถ้อยความที่ไร้สาระ ไร้ความน่าเชื่อถือเสียนี่กระไร

แต่ ณ เวลานี้ ณ บัดนี้ ผมได้ประจักษ์แล้วว่าถ้อยความนี้แฝงความจริงไว้อย่างเต็มเปี่ยม

ปิ่นมาจากโลกและดินแดนที่แตกต่างจากผมอย่างแท้จริง และความแท้และความจริงนี้เองที่ผมควรต้องทำใจยอมรับมันเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผมเดินตรงไปที่ศาลา ตั้งใจจะเดินตรงเข้าไปหาปิ่น คำแรกที่ผมจะเอ่ยต่อปิ่นคือความรู้สึกเบื้องในของผม

ผมจะบอกปิ่นว่าผมคิดถึงเธอมากเพียงใด ผมจะบอกกับปิ่นว่าผมรักเธอมากเพียงใด และผมจะบอกกับปิ่นว่าเพราะสาเหตุใด ผมจึงได้เหินห่างจากเธอ

และหากพ่อของปิ่นอยู่ในบริเวณนั้น ผมก็จะร้องขอให้เขาเป็นพยานว่าทุกสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นมีความสัตย์จริงทุกประการ

ผมจะบอกปิ่นว่าพ่อของปิ่นคือบุคคลที่ปรารถนาที่จะแยกเราทั้งคู่ออกจากกัน และผมคือบุคคลที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราแนบแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคขัดขวางดังว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา

 

เมื่อเดินเข้าไปถึงศาลาสวด ผมก็แลเห็นชื่อของแม่ปิ่นปรากฏอยู่บนกระดานสีเขียวที่ตั้งไว้ข้างศาลา นามสกุลอันยิ่งใหญ่ของครอบครัวปิ่นดูจะกดตัวของผมให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้หาได้ทำให้ผมท้อแท้หรืออับอาย

ความรู้สึกของการกลับมาเยี่ยงวีรบุรุษเพื่อทวงถามของรักของหวงปานดวงใจของผมปลุกปลอบใจให้ผมเข้มแข็งอย่างประหลาด

ผมเดินยืดหลังตรงแสดงสภาวะของคนที่ไม่อาจจะถูกกดทำลาย ผมเดินอย่างสง่างามที่สุดเข้าไปภายในศาลาสวดแห่งนั้น

เมื่อเข้าไปภายในศาลา ผมมองหาปิ่นไปรอบๆ บริเวณ แต่ไม่พบ สายตาแรกที่จ้องมองมาทางผมคือสายตาจากพ่อของปิ่น

เขาแสดงทีท่าเกลียดชังออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ผมในวันนี้ต่างจากผมในวันก่อนเก่า ผมได้เตรียมตัวมาอยางดีที่จะรับมือกับความเกลียดของเขา

ดังนั้น แม้ท่าทีใดๆ จากเขาล้วนไม่มีผลกับผม บุคคลเดียวที่ผมห่วงและกังวลถึงคือปิ่น

แต่น่าแปลกที่การมองหาปิ่นของผมไม่ประสบความสำเร็จใดๆ พระภิกษุสี่รูปเดินตรงเข้ามาในศาลา ผู้คนพากันเดินตรงมายังเก้าอี้ที่วางเรียงรายในศาลา พวกเขานั่งลงตามเก้าอี้ว่างเหล่านั้น และไม่นานนักเสียงสวดจากพระภิกษุสี่รูปก็ดังขึ้น

ผมเลือกเก้าอี้ตัวที่อยู่ริมสุดด้านนอกของศาลา ผู้เป็นพ่อของปิ่นนั่งลงที่โซฟาด้านหน้าของพระภิกษุที่อยู่บนอาสนะ เขาหันมามองผมเป็นระยะๆ ดังกับการกลัวเกรงว่าผมจะเป็นภูตผีที่จะหายตัวไปในเวลาใดก็ตาม แต่ผมยังอยู่ตรงนั้น นั่งพนมมือฟังเสียงพระสวดอยู่ตรงนั้น เป็นขวากหนามในใจของเขาอยู่ตรงนั้น ผมพนมมือฟังการสวดดังกล่าวจนการสวดรอบแรกจบลง เป็นการสวดที่กินเวลาพอสมควร

แต่ปิ่นก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้น

 

การสวดในรอบสองใช้เวลาใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าเมื่อจบการสวดในรอบนี้ ผมแลเห็นผู้มาร่วมงานหลายพากันพักผ่อนด้วยการทักทายกันไปมา เสียงสนทนาดังก้องไปทั่ว ก่อนจะเงียบเสียงเมื่อการสวดในรอบที่สามเริ่มขึ้น

การสวดในรอบนี้กินเวลานานกว่ารอบอื่นๆ เมื่อจบรอบ มีอาหารและเครื่องดื่มถูกนำออกมาเสิร์ฟแก่แขกผู้ร่วมงาน น้ำชา กาแฟ จนกระทั่งข้าวต้มร้อน ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนพักจากการสนทนาได้

ผมเลี่ยงการกินอาหารใดๆ แต่หยิบแก้วกาแฟที่นำมาเสิร์ฟขึ้นจิบเพื่อบรรเทาอาการง่วงงุน และในขณะที่ผมกำลังปล่อยให้ความหวานรสเข้มไหลผ่านลำคอ เสียงตะโกนดังพอประมาณก็ดังขึ้นจากด้านหลังของผม ผู้คนแทบจะทั้งหมดเหลียวหลังไปมอง ซึ่งรวมถึงผมด้วย

ปิ่นกำลังถูกประคองเข้ามาในศาลาอย่างช้าๆ เธออยู่ในสภาพที่ลำคอพับแนบกับไหล่ของชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชายหนุ่มที่ผมพบเห็นเขาเดินอยู่กับปิ่นในวันนั้น

เขาประคองปิ่นไปยังโซฟาที่พ่อของปิ่นนั่งอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างพ่อของปิ่น หลังจากนั้น เขาเอนร่างของปิ่นที่อยู่ในชุดกระโปรงสีดำให้นอนราบลงกับโซฟา ศีรษะของปิ่นพักอยู่บนตักของชายหนุ่มผู้นั้น ในขณะที่พ่อของปิ่นยื่นยาดมในกลักเงินให้เขา

ปิ่นแลดูสนิทสนมกับชายหนุ่มผู้นั้นมาก และชายหนุ่มผู้นั้นก็แลดูสนิทสนมกับพ่อของปิ่นมากเช่นกัน

ผมลุกออกจากเก้าอี้นั่งตั้งใจจะเดินไปหาพวกเขา ความรู้สึกที่ต้องการความจริง ความรู้สึกที่ต้องการให้ทุกอย่างกระจ่างชัดคุกรุ่นอยู่ในอกของผม

ทว่า ก่อนที่ผมจะได้เริ่มการสนทนาหรือระเบิดอากัปกิริยาใดไป

เสียงสวดจากพระภิกษุอันเป็นการสวดในรอบสุดท้ายก็ดังขึ้น •