ปลดล็อกกัญชา ปัญหาและทางแก้/บทความพิเศษ สุประวัติ ใจสมุทร

บทความพิเศษ

สุประวัติ ใจสมุทร

 

ปลดล็อกกัญชา

ปัญหาและทางแก้

 

การปลดล็อกกัญชาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวใหญ่แห่งปีก็ว่าได้

ผมเองก็ตื่นเต้นกับข่าวนี้ไม่น้อย

แต่ในส่วนลึก รู้สึกแปลกใจที่การปลดล็อกทำโดยเพียงออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ยกเลิกสถานะความเป็นยาเสพติดในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติของพืช เช่น กัญชา และพืชกระท่อม ซึ่งถือเป็นตระกูลพืชยาเสพติดไทยมาแต่กาลโบราณเท่านั้น

กัญชาถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

การปลดล็อกโดยปล่อยเสรีทันทีตั้งแต่วันเดือนปีดังกล่าวยังผลให้รัฐต้องปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดและผู้ต้องหาในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นผู้เสพ ผลิต ครอบครอง มีไว้เพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดประเภท 5 ทั้งหมด ทั้งผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาหรืออยู่ในระหว่างการฝากขัง การพิจารณาของศาล ทุกศาลทั่วประเทศ เป็นผู้ไร้ความผิด ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต่อบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับกัญชา

ข้อเขียนชิ้นนี้ของผมจะไม่แตะต้องกับการใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ของพืช ไม่ว่าจะเป็นใบ ลำต้น ราก หรือดอก เพราะผมไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องนี้

แต่ขอบอกตรงๆ ว่า การปลดล็อกหรือเปิดเสรีให้กัญชา และพืชในประเภท 5 ทั้งหมด ใช้ประโยชน์ในทางสันทนาการหรือการแสวงหาความบันเทิงจากการสูบหรือเสพได้ โดยไม่มีการควบคุมกำกับ หรือมีตามยถากรรม ถือเป็นความเสี่ยงอย่างร้ายแรง

ในวันที่ผมเขียนเรื่องราวตามหัวข้อ มีเพียงประกาศกระทรวงสาธารณสุขกรณีกลิ่นและควันรบกวนชาวบ้าน เท่านั้น

ย่อมหมายความว่าในช่วงสุญญากาศนี้ การบรรทุก ขนย้าย รวมทั้งการนำเข้าและส่งออกพืชทั้ง 3 สายพันธุ์ อันเป็นที่รู้จักกันดี ย่อมทำได้โดยเสรี ไม่มีข้อจำกัดและโทษฑัณท์ใดๆ

จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเป็นช่วงนาทีทองของผู้มีมือยาว สาวได้สาวเอา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำได้ทุกฝ่ายเสมอภาคกัน ยิ่งมีอำนาจบารมี ยิ่งสร้างเม็ดเงินได้มหาศาลโดยผลของการปลดล็อก

ส่วนผมเองก็ลองขึ้นทะเบียนไว้กับคณะกรรมการยา หรือ อย. ขอลองปลูกกัญชา 5 ต้น เพื่อประโยชน์สุขภาพของตนเองตามประสาของคนมือสั้น จากผู้รับลงทะเบียนทั้งหมดเกือบ 1,000,000 คน

เห็นได้ชัดเจนว่าการปลดล็อกสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเครือข่ายออนไลน์อย่างแรง

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศนอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ที่มองข้ามไม่ได้คือผลเสียต่อสุขภาพ นั่นคือจิตและประสาทของผู้เสพและสูบในปริมาณที่เกินควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่สามารถเข้าถึงกัญชาเสรีนี้ได้โดยง่าย

ผลร้ายที่ตามมาน่าสะพรึงกลัวอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้น ในห้วงเวลานี้หากรัฐบาลปล่อยให้เกิดปัญหารายวันจากกัญชาเสรี ย่อมถือเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรง

ผมก็หวนประหวัดถึงเรื่องราวเมื่อ 7 ปีก่อนที่ผมรับว่าความให้กับนักธุรกิจชาวดัตซ์ จำเลยในคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ฟอกเงิน และไปว่าความด้วยตนเองที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และเป็นคดีสุดท้ายก่อนเก็บเสื้อครุยเข้าตู้เมื่อสิ้นสุดหน้าที่ลง ประมาณ 5 ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ จาการสอบถามข้อเท็จจริงจากนายเจอราด สป๊อง ทนายผู้เชี่ยวชาญในคดียาเสพติดในประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ปรึกษาของบริษัทที่จำเลยตั้งขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรับเป็นทนายความ

เนื่องจากพบว่าเงินรายได้ทั้งหมดของจำเลยในบัญชีธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยที่ถูกกล่าวหา ล้วนแล้วแต่โอนผ่านระบบโอนเงินระหว่างประเทศ หรือ SWIPTและได้รับคำยืนยันว่าเป็นเงินรายได้จากการขายปลีกกัญชาในร้านคอฟฟี่ช็อป (Cofeeshop) หลายร้าน ในนามบริษัท ที่มีใบอนุญาตถูกต้อง และมีการสำแดงเงิน รวมทั้งได้ชำระภาษีต่อเทศบาลที่ร้านตั้งอยู่ตลอดมาหลายปี

ในห้วงเวลานั้น ผมคิดว่าถ้าเงินต้นน้ำหรือ Upstream ใสสะอาดจริง เงินปลายน้ำหรือ Downstream ก็ย่อมใสสะอาดตามไปด้วย และไม่ใช่ความผิดทางอาญา จึงตั้งเป้าว่า การเดินทางขึ้นไปตรวจสอบต้นน้ำจะมีประโยชน์ต่อรูปคดีมากกว่าการมิได้สัมผัสอะไรเลย

ดังนั้น ต้นปี พ.ศ.2558 ก่อนเริ่มการพิจารณาคดีของศาลอาญา ผมและคณะได้ไปเยือนกรุง Amsterdam เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ เป็นครั้งแรกในชีวิต ขอบเขตงานคล้ายกับโซลิซิเตอร์ (Solicitor) ในระบบกฎหมายอังกฤษ คือตรวจสอบข้อเท็จจริงในที่เกิดเหตุ รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อศาลผ่านแบริสเตอร์ (Barrister) ในการว่าความ แต่ในงานนี้ผมเป็นทั้งสองอย่าง

จากเอกสารตั้งต้น อันเป็นตัวบทกฎหมายและระเบียบของประเทศเนเธอร์แลนด์ คือ พระราชบัญญัติฝิ่น (Opium Act) พบว่าได้จัดแบ่งยาเสพติดให้โทษเป็น 2 บัญชีหรือ 2 ประเภทเท่านั้น คือยาแรง (Hard Drugs) กับยาอ่อน (Soft Drugs)

ยาแรงก็ไม่พ้นเฮโรอีนกับโคเคน โดยโคเคนนั้นคือยาพิษร้ายที่เคยทำลายชาวดัตช์มานานหลายปี

ส่วนยาอ่อนในห้วงเวลานั้นก็คือ กัญชา (Cannabis) และกัญชง (Hemp)

กฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดอันเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งสองจำพวก อัตราโทษต่างกันลิบลับ ตามพิษภัยของสิ่งที่เรียกว่า “ยาเสพติด”

แต่ที่ผมประทับใจคือความสำเร็จของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ที่บริหารจัดการกับยาอ่อน จนสามารถเอาชนะยาแรง คือหมดสิ้นจากพื้นที่ และความผาสุกเกิดขึ้นในประเทศ ถึงขนาดที่ว่าคดีต่างๆ ไม่ว่าระดับร้ายแรงหรือลักเล็กขโมยน้อยค่อยๆ ลดลง จนเรือนจำในประเทศแทบไม่มีนักโทษถูกจองจำ

ขณะที่ผมหวนคิดถึงวันที่ไปเยี่ยมจำเลยในเรือนจำคลองเปรม เห็นสภาพแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดรัฐบาลจึงปล่อยให้เมตแอมเฟตามีน (Mate Amphetamine) หรือยาบ้าระบาดรุนแรงตั้งแต่เริ่มยุค คสช. จนถึงวันนั้น ที่ส่วนใหญ่ผู้ถูกคุมขังเกี่ยวข้องกับยาบ้า และเพิ่มขึ้นจนถึงทุกวันนี้

Mr.Vis ทนายชาวดัตช์วัยเพียง 26 ปีผู้ร่วมงานของ Gerrad Spong นำผมและคณะย่ำบนถนนยามเย็นวันหนึ่งของกรุงอัมสเตอร์ดัม ผมรู้สึกตื่นตาเมื่อร้านและบูธ ที่มีป้ายข้อความภาษาอังกฤษว่า “Coffeeshop” ติดอยู่ด้านหน้าเป็นทิวแถว

Vis อธิบายประกอบเอกสารว่า สถานที่ที่ปิดข้อความแบบนี้ทุกร้านทุกที่ หมายถึง สถานที่ที่จำหน่ายปลีกกัญชาทั้งกัญชาแปรรูปและกัญชาสด ภายในร้าน ซึ่งจะมีใบอนุญาตให้จำหน่าย ติดกรอบอยู่ภายในร้าน

เมื่อผมลองเข้าไปก็จะพบเอกสารดังกล่าวปิดอยู่ภายใน เป็นภาษาดัตช์ เช่นเดียวกับใบอนุญาตที่ออกให้แก่บริษัทของจำเลยที่เคยตรวจสอบมา

ใบอนุญาตทั้งหมดที่ผ่านสายตาผม ออกโดยคณะกรรมการไตรภาคี (Triankle Committee) แห่งท้องถิ่นคือ เทศบาล ประกอบด้วย อัยการ นายกเทศมนตรี และสรรพากรพื้นที่

จากประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เคยสูบบุหรี่แม้แต่มวนเดียว และคุ้นชินกับเพลงและภาพ “บ้องกัญชา” ของกาเหว่า เสียงทอง วันนั้น ทนายหนุ่มชาวดัตช์นำไอศกรีมโคนรสวานิลลามาให้ผมหนึ่งแท่งจากบูธริมถนนและคะยั้นคะยอให้ผมทดลอง บอกว่าเป็นไอศกรีมกัญชา ผมอุทานเป็นภาษาอังกฤษ “แปรรูปหรือนี่” เขาหัวเราะในเชิงยอมรับ ผมรับคำท้า

เมื่อเนื้อไอศกรีมเย็นเฉียบผ่านลำคอลงไป ผมรู้สึกมึนงงไปชั่วครู่และบอกกับตัวเองว่า เป็นสิ่งแปลกปลอมและไม่แน่ใจว่าจะเป็นประโยชน์หรือโทษกับระบบประสาทกันแน่ จึงหยุดการบริโภคในทันที เพราะมีงานใหญ่ที่ต้องทำให้เสร็จก่อนเดินทางกลับในอีกสองวัน นั่นคือการไปเยือนคอฟฟี่ช็อปหลายร้านของบริษัทอีก 2 เมือง คือ เดนบอช (Den Bosch) และติลเบิร์ก (Tilburg) และร่วมประชุมเพื่อสรุปงาน

ร้านคอฟฟี่ช็อปที่บริษัทของจำเลยได้รับใบอนุญาตล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่มีมาตรฐาน คือ จัดสถานที่นั่งรับประทานอาหารและห้องสูบกัญชาแยกกัน

ชั้นล่างมีตู้กระจกที่มีทั้งกัญชาสดบรรจุกล่อง และที่สำคัญอันพลาดไม่ได้ก็คือบุหรี่กัญชา (Cannabis Cigarettes) วางเรียงในบรรจุภัณฑ์ขนาดซองบุหรี่ สีสะดุดตา

ยิ่งไปกว่านั้นมีป้ายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดไว้ชัดเจนตรงผนังห้องหลายจุด ซึ่งมีความเชื่อกันว่ากัญชากับสุราจะต้องอยู่ตรงข้ามกัน หากเข้ากันเมื่อไรก็จะเป็นพิษภัยแก่ร่างกายเมื่อนั้น เชฟประจำร้านอาหารย้ำ

ในปีนั้น มีร้านคอฟฟี่ช็อปทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีพื้นที่ 41,543 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งสิ้น 589 ร้าน หรือเฉลี่ย 1 ร้านต่อพื้นที่ 70 ตารางกิโลเมตร

และในวันที่เขียนเรื่องนี้ได้รับการยืนยันไม่เป็นทางการว่า ร้อนคอฟฟี่ช็อปเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 30% ทั่วประเทศ

 

ผมและคณะทนายความเข้าร่วมประชุมกับทนายความสำนักงาน Spong advocaten ในกรุงอัมสเตอร์ดัม เต็มคณะ เพื่อสรุปงานประกอบเอกสารสำคัญคือระเบียบนโยบายที่ออกตามมาตรา 9a แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น โดยสภาผู้แทนราษฎร มาประมาณ 30 ปีเศษแล้ว อันมีสาระสำคัญที่ผมพอสรุปได้คือ เป็นระเบียบที่ออกมาเพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายรวมทั้งการนำเอายาอ่อน กล่าวคือ กัญชาและกัญชงมาใช้ในเชิงสันทนาการคือ บริโภค เสพ สูบ ตามนโยบาย Tolerance Policy หรือนโยบายความอดกลั้น

เหตุที่มีการเรียกขานนโยบายเช่นนี้ก็เพราะทั้งภาครัฐและพลเมืองชาวดัตช์จะต้องใช้ความอดทนหรืออหิงสาเข้าหากัน จึงมีการสร้างระเบียบตามนโยบายขึ้นมาแทนตัวบทกฎหมายที่มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ

และเมื่อนโยบายนี้ดำเนินมาหลายปี ผลที่ตามมาก็คือยาแรงหมดไปจากประเทศ

พลเมืองชาวดัตช์มีความผาสุกดังที่ผมกล่าวข้างต้น

ดังนั้น ผมจึงจำเป็นจะต้องนำเอารายละเอียดของข้อห้ามและข้อบังคับบางรายการจากระเบียบนอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว มาแสดงไว้ ณ ที่นี้ เช่น

1. การซื้อปลีกซึ่งกัญชาจากคอฟฟี่ช็อปและการสูบเสพในสถานที่พักอาศัย อนุญาตให้เฉพาะพลเมืองชาวดัตช์เท่านั้น

2. ห้ามบุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าไปในร้านคอฟฟี่ช็อปและห้ามสูบเสพกัญชาไม่ว่าในคอฟฟี่ช็อปหรือสถานที่พักอาศัย (ถ้ากระทำย่อมเป็นไปตามกฎหมาย)

3. อนุญาตให้ซื้อขายปลีกหรือครอบครองได้ในปริมาณไม่เกิน 5 กรัมต่อคนต่อ 1 วัน

4. อนุญาตให้ร้านคอฟฟี่ช็อปครอบครองกัญชา กัญชงรวมกันในร้านได้ไม่เกิน 500 กรัมทุกเวลา และห้ามขายยาแรงทุกชนิด

5. สถานที่ตั้งร้านคอฟฟี่ช็อปจะต้องอยู่ห่างจากโรงเรียน สถานพยาบาล สถาบันการศึกษาไม่น้อยกว่า 250 เมตร

6. ห้ามโฆษณากิจการร้านคอฟฟี่ช็อบ

7. ห้ามรบกวนสาธารณะ

เมื่อร้านคอฟฟี่ช็อปมีใบอนุญาตที่ออกตามระเบียบนโยบายของรัฐบาลผ่านสภาผู้แทนราษฎร การกระทำฝ่าฝืนที่เกิดขึ้นโดยผู้ถือใบอนุญาต จึงไม่มีบทลงโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.ฝิ่น แต่ใช้มาตรการทางปกครอง (Administrative Measurements) บังคับแทน

ซึ่งมีตั้งแต่หนังสือแจ้งเตือน ในกรณีไม่รุนแรง ให้แก้ไขภายในกำหนดเวลาแน่นอน

แต่ถ้าเป็นกรณีรุนแรง เช่น ครอบครองเกินกว่า 500 กรัมในร้านก็จะมีมาตรการถึงขั้นสั่งปิดร้านมีกำหนดระยะเวลา เช่น 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน จนถึงไม่มีกำหนดระยะเวลา หรือสั่งปิดเป็นการถาวร

Mr.Spong เจ้าสำนักทนายความผู้อาวุโสกว่าผม 3 ปี ตอบคำถามสะดุดตาของผม เกี่ยวกับตัวเลข 5 กรัมก่อนว่า เป็นข้อสรุปทางการแพทย์ที่เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับสารกัญชาในส่วนที่เสพติดในประมาณนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในระยะยาว ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ต้องห้ามเด็ดขาด

ดังนั้น ในบุหรี่กัญชาแต่ละซองจะต้องมีผงกัญชาบรรจุอยู่รวมกันไม่เกิน 5 กรัม

แม้ผมจะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก แต่จากที่ได้สัมผัสไอศกรีมโคนมาแล้ว จึงไม่มีข้อโต้แย้ง

ส่วนตัวเลข 500 กรัมตลอดเวลาในร้านหมายความว่าหากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีกัญชาปริมาณเกินกว่า 500 กรัมไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบทันที

และเมื่อผมตั้งคำถามว่า 500 กรัม = ครึ่งกิโล และระยะเวลาเปิดจนถึงปิดแต่ละวันก็มีแน่นอนไม่ดึกไม่ดื่น แต่สงสัยยอดเงินจากต้นทางเข้าบัญชีปลายทางของจำเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำไมจึงสูงลิบ ถ้ามีเพียง 500 กรัมจะสร้างเม็ดเงินได้ขนาดนี้หรือ

เขาหัวเราะเสียงดังและตอบว่า “เป็นอีกปัญหา เราเรียกว่านโยบายประตูหลัง (Backdoor Policy)” ซึ่งผมเองก็สังเกตเป็นการส่วนตัวไว้แล้วในวันเผชิญสืบ Coffeeshop ทั้งหมด

 

ข้อเขียนจากประสบการณ์เรื่องเล่าของผม มีขึ้นเพื่อเตือนใจรัฐบาลที่ “ชิงสุกก่อนห่าม” ด้วยการเสนอร่างกฎหมายยกเลิกกัญชา กัญชง กระท่อม ออกจากยาเสพติดประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ โดยไม่มียุทธศาสตร์และกฎหมายรองรับ ซึ่งจะอาศัยเพียงพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 นั้นเป็นเพียงแก้ที่ปลายเหตุ ได้เพียงเล็กน้อย

ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีควรเร่งร่างพระราชบัญญัติเฉพาะเรื่องกัญชา กัญชง ผ่านสภาโดยด่วน รวมทั้งการใช้อำนาจออกพระราชกำหนดในเรื่องเดียวกัน เพื่อที่จะบังคับใช้แก้ปัญหา ได้ทันท่วงที ตามปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะนี้และที่จะตามมาอีกทั่วประเทศไทย

ไม่เช่นนั้น จะเข้าตำรา “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”

ส่วนการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ “Dutch Model” ที่ผมได้นำเสนอไว้พอสมควรก็อาจนำมาปรับปรุงแก้ไขพัฒนาให้เข้ากับประเทศไทยที่มีพื้นที่กว้างกว่าประเทศเนเธอร์แลนด์ถึงประมาณ 11 เท่า ทั้งประชากรก็มากกว่าหลายส่วน

การใช้รูปแบบของชาวดัตช์จะทำให้เกิด “ธุรกิจห่วงโซ่กัญชา” ตามมามากมายโดยเฉพาะร้านกาแฟที่ผมเคยไปใช้บริการมา ทั่วทุกภาค มีอยู่ดาษดื่นและสามารถรองรับการจำหน่ายปลีกกัญชาได้ทันที ซึ่งจะต้องแบ่งระหว่างร้านกาแฟที่มีที่นั่งให้รับประทานกับร้านที่ไม่มีทีนั่ง ให้ใช้วิธีการเทกโฮมหรือซื้อกลับบ้าน อันเป็นรายละเอียดที่ต้องกำหนดต่อไป

ส่วนค่าใบอนุญาตที่ออก ควรให้เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล เก็บจากผู้ถือใบอนุญาต เป็นรายได้ของท้องถิ่น เพื่อนำเม็ดเงินมาพัฒนาท้องถิ่นได้ในระยะยาว แถมรัฐบาลจัดเก็บภาษีเงินได้จากผู้ถือใบอนญาตได้ทั่วประเทศ ย่อมดีกว่าที่รัฐบาลจะหวงอำนาจไว้ในส่วนกลาง

แล้วปล่อยคนชนบทเกษตรกร ให้เคว้งคว้างและไม่มีความหวัง จากราคาพืชเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงทุกวัน