พฤษภารำลึก (6) ความฝันในเดือนพฤษภา!/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

พฤษภารำลึก (6)

ความฝันในเดือนพฤษภา!

 

“เมื่อใดที่กองทัพตัดสินใจยุติการปกครองโดยตรง [ของทหาร] กองทัพจะมีผลประโยชน์เชิงสถาบันที่ผู้นำทหารจะต้องปกป้องให้ได้”

Alfred Stepan (1988)

ผู้เชี่ยวชาญด้านทหารกับการเมืองในละตินอเมริกา

 

สิ่งที่เป็นความท้าทายอย่างยิ่งประการหนึ่งสำหรับผู้นำทหารคือ การประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งจากข้อมูล “ข่าวกรอง” และ “ข่าวจริง” ที่ปรากฏในเวทีสาธารณะ

ซึ่งภาพและข้อความต่างๆ ล้วนสะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี

แต่ในหลายกรณี เราจะเห็นปัจจัยร่วมที่สำคัญของผู้นำแบบอำนาจนิยม ที่ไม่เชื่อพลังของประชาชนบนถนน

มิหนำซ้ำยังอาจมีทัศนะในแบบดูแคลนพลังเช่นนี้อีกด้วย

ซึ่งอธิบายได้ง่ายว่า เป็นเพราะผู้นำทหารก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วย “พลังปืน” ไม่ใช่ด้วย “พลังชน”

ทัศนะแบบอำนาจนิยมจึงเชื่อเสมอว่า “ปืนชนะประชาชน”

ความสำเร็จจากการรัฐประหารเป็นคำตอบแบบสำเร็จรูปในตัวเองสำหรับผู้นำทหารเหล่านี้

และการยึดอำนาจในต้นปี 2534 ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่ได้มีการต่อต้านอะไรจริงจังจนต้องเป็นกังวล

 

หลักการสงครามการเมือง

กฎในทางการเมืองที่ต้องตระหนักสำหรับผู้นำคือ “ความเป็นอนิจจัง” แม้คลื่นลมที่อาจจะดูสงบหลังรัฐประหาร แต่ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นพายุใหญ่ได้เสมอ และไม่มีอะไรในทางการเมืองจะน่ากลัวไปกว่า “พายุอารมณ์” ของประชาชนที่เกิดจากการสะสมความไม่พอใจรัฐบาลในเรื่องต่างๆ

เมื่อใดก็ตามที่ความไม่พอใจเช่นนี้เปลี่ยนจาก “ปริมาณเป็นคุณภาพ” แล้ว เวลาที่เหลืออยู่ก็คือการนับถอยหลังอายุขัยของรัฐบาล

และยิ่งเป็นรัฐบาลของผู้นำทหาร การนับถอยหลังจะยิ่งเร็ว เพราะความเชื่อพื้นฐานในการใช้กำลัง และเชื่อในหลักการพื้นฐานของ “สงครามตามแบบ” ว่า อำนาจการยิงที่เหนือกว่าคือปัจจัยชี้ขาดการสงคราม

แต่ “สนามรบทางการเมือง” และ “สนามรบทางการทหาร” นั้น มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หลักวิชาทหารสำหรับสนามรบทางการเมืองคือ กรณีของ “สงครามนอกแบบ” ซึ่งทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติแล้ว อำนาจการยิงที่เหนือกว่าไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดชัยชนะแต่อย่างใด

กล่าวคือ รัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐในการปราบปรามอาจสามารถสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน แต่รัฐบาลเช่นนี้ไม่ได้ใจประชาชน

และวันใดที่ประชาชนก้าวข้ามความกลัวได้แล้ว วันนั้นอำนาจทางทหารจะไม่มีความหมายในการต่อสู้… ขอเพียงประชาชนเดินข้าม “เส้นแห่งความกลัว” ที่ผู้นำทหารได้ลากไว้แล้ว รัฐบาลจะเผชิญกับ “สงครามประชาชน” บนถนนอย่างแน่นอน

นักเรียนรัฐศาสตร์ในสาขา “จิตวิทยาการเมือง” จึงถูกสอนเสมอว่า สงครามบนถนนคือ จุดเริ่มต้นของ “สงครามกลางเมือง” ดังปรากฏการณ์ของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

ผมกลับเข้ามาในไทยเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหลังรัฐประหารผ่านพ้นไปแล้ว

ทำให้มีโอกาสนั่งพินิจพิเคราะห์การเมืองด้วยหลักวิชาทหารที่เคยรับรู้มา

ดังนั้น เมื่อผมเอาหลักการสงครามนอกแบบมาพิจารณาความอยู่รอดของ “รัฐบาลทหารสืบทอดอำนาจ” ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เห็นได้ชัดถึงหลักการสงครามของประธานเหมาเจ๋อตุง ซึ่งเตือนใจเสมอว่าสงครามชี้ขาดด้วยการสนับสนุนของประชาชน ดังคำกล่าวว่า “ประชาชนเป็นน้ำ ทหารเป็นปลา”

ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนเลิกเป็นน้ำให้ทหาร ต่อให้ปลาใหญ่เท่าใดก็ตาย

ดังนั้น ความอยู่รอดของสถาบันการเมืองเกิดจากความสนับสนุนของประชาชน ไม่ใช่เกิดจากอำนาจปืนที่ “กดหัว” ประชาชน ดังคตินิยมของผู้นำสายอำนาจนิยม

 

สงครามบนถนน

ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลสืบทอดอำนาจของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขยายตัวไม่หยุด ประมาณการว่าการชุมนุมครั้งนั้น มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน

ในคืนวันนั้นเอง การปะทะได้เริ่มต้นขึ้น และตามมาด้วยการเผาสถานีตำรวจนางเลิ้ง

เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นโอกาสให้รัฐบาลใช้เป็นเงื่อนไขในการประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในตอนเที่ยงคืน

ในที่สุดการใช้กำลังทหาร-ตำรวจของฝ่ายรัฐบาลที่ตัดสินใจล้อมปราบผู้เห็นต่างที่เปิดเวทีการเรียกร้องทางการเมืองที่ถนนราชดำเนินได้เกิดขึ้นจริงในตอนกลางวันของวันที่ 18 พฤษภาคม เนื่องจากมีประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมของฝ่ายค้านเป็นจำนวนมาก จนรัฐบาลมองว่าหากไม่สามารถควบคุมการชุมนุมได้แล้ว อาจจะนำไปสู่จุดจบของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้นำทหารที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การชุมนุมที่ขยายตัวไม่หยุดบนนถนนราชดำเนิน คือคำยืนยันถึงสถานะของรัฐบาลว่า “ได้อำนาจ-แต่ไม่ได้ใจ” อันส่งผลให้รัฐบาลในสายตาของสังคมสูญเสียความชอบธรรมไปแล้ว และหมดสภาพความเป็นรัฐบาล

แต่รัฐบาลกลับอาศัยอำนาจของการประกาศภาวะฉุกเฉินสั่งให้ผู้ชุมนุมสลายตัว และเดินทางกลับบ้าน

ในขณะเดียวกันกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มกุมและดำเนินการสลายฝูงชนในช่วงเวลาบ่ายของวันดังกล่าว

พร้อมกันนี้สารวัตรทหารได้ใช้กำลังเข้าจับกุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขณะกำลังปราศรัยบนเวทีที่ถนนราชดำเนิน แม้จะมีการจับกุมแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมบางส่วน แต่ยังเหลือมวลชนบนถนนอีกเป็นหลักหมื่น และมีอาการโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด

สถานการณ์เดินมาถึงจุดผลิกผันที่สำคัญ เมื่อการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐนำไปสู่สถานการณ์นองเลือดในคืนวันที่ 18 พฤษภาคม อันเป็นการใช้กำลังทหารตำรวจเข้าล้อมปราบประชาชนอีกครั้งหลังเหตุการณ์ในปี 2519 แม้สถานการณ์ความรุนแรงดำเนินสืบเนื่องต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม แต่กองกำลังของรัฐบาลก็ไม่สามารถเข้าควบคุมฝูงชนได้จริง และการต่อต้านรัฐบาลขยายตัวออกไปในหลายจังหวัด

ส่วนการชุมนุมในกรุงเทพฯ ในวันที่ 20 พฤษภาคม ได้เคลื่อนย้ายเวทีการประท้วงจากถนนราชดำเนินไปปักหลักที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และแน่นอนว่า ความรุนแรงมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น…

แต่แล้วในเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษ ของคืนวันที่ 20 พฤษภาคม โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ภาพการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของสองผู้นำคือ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง

แล้วการต่อสู้บนถนนจึงเริ่มคลายความรุนแรงลง และทุกอย่างจบลงในวันที่ 21 พฤษภาคม แม้การประท้วงบนถนนจะยุติ

แต่ “การประท้วงเงียบ” ยังไม่หยุด และขยายตัวไปทั่วประเทศ จนกลายเป็นแรงกดดันสำคัญให้ พล.อ.สุจินดาต้องประกาศลาออกในวันที่ 24 พฤษภาคม…

เป็น 8 วันแห่งชัยชนะของประชาชน

 

แปดวันแห่งชัยชนะ

ฉะนั้น คงต้องถือว่า “8 วันแห่งการลุกขึ้นสู้” ของนักศึกษาประชาชน ส่งผลให้ระบอบสืบทอดอำนาจ หรือระบอบพันทางของผู้นำรัฐประหาร 2534 ต้องล้มลง และเป็นการปิดฉากอำนาจของ “ผู้นำทหารรุ่น 5 สายเก่า”

และเปิดทางให้ “ผู้นำทหารรุ่น 5 สายใหม่” ก้าวเข้าสู่อำนาจแทน…

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฝ่ายประชาธิปไตยดีใจและตื่นเต้นอย่างมากกับชัยชนะของนักศึกษาประชาชนในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2535

และเป็นดังเหตุการณ์ “14 ตุลาฯ ครั้งที่ 2” สำหรับสังคมการเมืองไทย

แต่ชัยชนะของขบวนประชาธิปไตยไทยทั้งในปี 2516 หรือในปี 2535 ล้วนต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญไม่แตกต่างกัน คือความพ่ายแพ้ของกองทัพจากการประท้วงใหญ่นั้น จะนำไปสู่การปรับบทบาทใหม่ทางการเมืองของทหารในการเมืองไทย ตลอดรวมถึงการปฏิรูปกองทัพให้เป็นประชาธิปไตยได้หรือไม่…

คำถามเช่นนี้เป็นประเด็นหลักของทุกประเทศที่เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจากระบอบ “เสนาอำนาจนิยม” ไปสู่ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” เพราะหากระบอบใหม่ไม่สามารถจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับกองทัพได้แล้ว การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจจะมีความเปราะบางในตัวเองอย่างมาก

นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยในขณะนั้น มิได้ละเลยประเด็นนี้ และพยายามที่จะแสวงหาคำตอบที่จะช่วยให้การต่อสู้ที่ต้องเสียสละของนักศึกษาประชาชนไม่สูญเปล่า

ดังนั้น หลังจากสถานการณ์นองเลือดเพิ่งยุติลง ผู้นำการชุมนุม นักเคลื่อนไหว ปัญญาชน และสื่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย ได้เปิดเวทีถกแถลงที่ห้องประชุมของอาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประเด็นหลักที่เป็นหัวใจของการถกในครั้งนี้หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นเรื่องของ “การปฏิรูปกองทัพ” โดยตรง

ในเวทีการประชุมมีการถกเถียงอย่างกว้างขวาง และผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า เพื่อที่จะรักษามรดกของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จะต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกองทัพ และถกลึกลงไปถึงข้อเสนอให้มีปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่า และทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การปฏิรูปกองทัพเป็นภารกิจทางการเมืองที่จะต้องทำให้สำเร็จ

การประชุมในวันนั้นจบลงด้วยความฝันของนักประชาธิปไตยไทยคือ ต้องผลักดันให้เกิด “การปฏิรูปกองทัพ” ให้ได้ อย่างน้อยการปฏิรูปทหารจะเป็นหลักประกันว่า ชัยชนะของประชาชนในปี 2535 จะสร้างความยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยไทยในอนาคต

แต่ความฝันดังกล่าวดูจะไปไม่ได้ไกลมากนัก เมื่อผู้นำทหารรุ่น 5 สายใหม่ที่ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำกองทัพ ไม่มีท่าทีตอบรับกับประเด็นการปฏิรูปกองทัพเท่าที่ควร

รัฐบาลใหม่เองเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนกันยายน 2535

และเห็นชัดในเวลาต่อมาว่า กระแสการปฏิรูปกองทัพค่อยๆ จางไป… หายไป และไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผลการสอบสวนของรัฐบาลต่อการใช้กำลังทหารในการสลายฝูงชนก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ (ไม่ว่าจะเป็นฉบับเต็ม หรือฉบับย่อก็ตาม) ทุกอย่างจบลงเพียงการย้ายผู้นำทหารรุ่น 5 ออกจากตำแหน่งหลักในระดับสูงเพียง 3 นายเท่านั้น แต่กระนั้น หลายคนยังฝันว่าบทเรียนจากการนองเลือดครั้งนี้น่าจะทำให้รัฐประหาร 2534 เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของทหารไทย

หลายคนฝันเช่นนั้น แต่ก็เป็นความฝันที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้ความฝันของเราเป็นจริง… การปฏิรูปกองทัพเป็นประเด็นใน “โลกแห่งความฝัน” และเราก็อยู่ในโลกฝันๆ จนรัฐประหารปี 2549 และ 2557 มาปลุกให้เราตื่นขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่าการปฏิรูปกองทัพคือโจทย์สำคัญที่ตกค้างมาตั้งแต่ชัยชนะของ “พฤษภาประชาธิปไตย” ในปี 2535 และถูกปล่อยค้างคาไว้โดยไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ดังนั้น โจทย์ปฏิรูปกองทัพจึงเป็นดังการบ้านที่ยังไม่ได้ทำเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

และท้าทายอย่างมากกับคนในยุคปัจจุบันว่า จะทำการบ้านข้อนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร!