ย้อนอดีตการเมืองไทยผ่านปกมติชนสุดสัปดาห์ | ทำไมถึง? ชัชชาติ “คิด” อภิสิทธิ์ “ต้าน” ทหาร “ทำ”

ย้อนตำนานปกมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ปีที่ 34 ฉบับที่ 1764 ที่ทันทีหลังวางจำหน่ายปรากฎว่าปกดังกล่าวเรียกเสียงฮือฮาได้มากในเวลานั้น แล้วทำไมถึงต้อง ชัชชาติ “คิด” อภิสิทธิ์ “ต้าน” ทหาร “ทำ” ? เรามาย้อนอ่านทำความเข้าใจผ่านคอลัมน์ ในประเทศ (หน้า10)

หมายเหตุ บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2557 ซึ่งยศ ตำแหน่ง และสถานะของบุคคลต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว

ภาพ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ “ล่ำบึ้ก” ในชุดเสื้อกล้ามดำ กางเกงดำหิ้วถุงพลาสติกใส่กับข้าวเดินเข้าวัดเพื่อไปใส่บาตร

หลังจากหลุดเข้าไปไปในโลกโซเชียล

นำไปสู่ปรากฏการณ์ “ฮิต” อย่างที่เราทราบกัน

คือเป็นจุดเริ่มต้นฉายา “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”

และมีผู้ซุกซนนำเอาภาพนี้ไปตัดต่อล้อเลียนเป็นตัวละครฮีโร่ต่างๆ นานา รวมทั้งใส่ฉาก ใส่เอฟเฟ็กต์ต่างๆ จากภาพยนตร์ เกม การ์ตูนมากมาย

รวมไปถึง การทำมุขล้อเลียนต่างๆ

สร้างรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นทั้งในและนอกโลกโซเชียล

และวันนี้ มุขนั้นมาปรากฏบนปก “มติชนสุดสัปดาห์”

มุขที่ “ชัชชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” เดินเข้าเขตทหาร

มากด้วย “สีสัน” หลังบรรยากาศการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557

อย่างที่ทราบกัน “ชัชชาติ” จับพลัดจับผลูเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมตัวหลังเป็นตัวแทนไปเจรจาหาทางออกจากข้อขัดแย้ง

เมื่อการเจรจาล้มเหลว ที่สุดก็ถูกทหาร “ควบคุมตัว”

การควบคุมตัวนั้น ถูกแต่งแต้มสี โดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่โพสต์ข้อความ เยาะหยัน ส่อเสียดในเฟซบุ๊ก “ส.ส.นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ว่า

“ซุปเปอร์แมนปีกหัก

ใครกล้า-ไม่กล้า ให้ดูตอนวิกฤติ

เวลาวิกฤติคนอ่อนแอที่สุดอาจจะกลายเป็นคนเข้มแข็งที่สุด

คนเข้มแข็งที่สุดอาจกลายเป็นคนอ่อนแอที่สุดก็ได้

เมื่อสิ้นเสียงคำว่า-…ผมยึดอำนาจประเทศนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเป็นเวลา 16.32 นาฬิกา ทหารพร้อมอาวุธกรูเข้ามาเต็มห้องชมัยมรุเชษฐ์ สโมสรทหารบก

เข้าควบคุมผู้อยู่ในห้องประชุมผม

เห็นนายทหารเข้าไปทำความเคารพรัฐมนตรีนักสร้างภาพเป็นซุปเปอร์แมน ที่สร้างภาพว่าตนเป็นนักกล้าม เป็นผู้แข็งแรงที่สุด

ท่านพยายามพยุงกายลุกขึ้น แต่ 2 แขนที่แข็งแรงไม่สามารถพยุงตัวขึ้นได้ ทรุดตัวลงกับเก้าอี้อีกครั้งหนึ่ง

จนนายทหารต้องเข้ามาพยุงตัวออกไป

ผมสะกิดให้ผู้อยู่ในห้องประชุมดูซุปเปอร์แมนปีกหักที่ถูกพยุงออกไป

ซุปเปอร์แมนถูกหามออกไปแล้ว ผมเดินไปดูเห็นสมุดบันทึกส่วนตัวของซุปเปอร์แมนวางอยู่ คงตกใจแล้วลืมไว้ ฝากบอกทหารหน้าห้องชมัยมรุเชษฐ์เก็บไว้ให้ซุปเปอร์แมนด้วยแล้วกัน

ผมไม่กล้าเปิดอ่าน แต่คงเป็นบันทึกเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูง”

“ส่อเสียด” แบบจัดเต็มจัดหนัก เช่นนี้

ทำให้ “ชัชชาติ” ออกมาตอบโต้ทันทีหลังจากถูกทหารปล่อยตัว ว่า สิ่งที่นิพิฏฐ์พูดไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

พร้อมกับเล่าเหตุการณ์จริงว่า

“เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้ามาควบคุมตัวโดยจับแขนของผม

แต่ได้ปัดแขน 3-4 ครั้ง และกล่าวยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่า สามารถเดินไปเองได้ ไม่ต้องจูง

ผมจึงไม่เข้าใจว่านายนิพิฏฐ์เขียนถึงผมในลักษณะนี้ด้วยเจตนาอะไร ต้องการอะไร”

พร้อมทั้งปล่อยมุข เรียกรอยยิ้ม ในบรรยากาศเครียดๆ ว่า

“ผมถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปควบคุมที่จังหวัดปราจีนบุรี มีเพื่อนร่วมค่ายทหาร อาทิ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และ สุเทพ เทือกสุบรรณ”

“ระหว่างถูกควบคุมตัวนั้น ทหารให้การดูแลเป็นอย่างดี แต่ก็ทำให้น้ำหนักลดลงไปถึง 4 กิโล ไม่ใช่เพราะอาหารแย่ แต่เป็นเพราะไม่มีพื้นที่ออกกำลังกาย เผาผลาญแคลอรี จึงตัดสินใจกินให้น้อยลง”

“ระหว่างถูกคุมตัวที่ค่ายทหารนั้น ไม่นานนัก นายสุเทพก็ได้รับการปล่อยตัว ต่อมา นายนิวัฒน์ธำรง ก็ได้รับการปล่อยตัวอีก แต่ทั้งๆ ที่ครบ 7 วันแล้ว ผมเองกลับไม่มีวี่แววจะถูกปล่อยตัว”

“จึงสอบถามไปยังพลทหารที่อยู่ไม่ไกลว่า น้องๆ เมื่อไหร่พี่จะถูกปล่อยตัว พลทหารคนนั้นก็รีบวิ่งไปสอบถามผู้บังคับบัญชาให้ สุดท้าย จึงมีนายทหารระดับผู้กองเดินทางมาหาอดีต รมว.คมนาคม พร้อมตะเบ๊ะทำความเคารพหนึ่งครั้ง ก่อนจะแจ้งว่าขอโทษทีครับ ลืมปล่อยท่านครับ”

ปรากฏว่า กว่า “ชัชชาติ” จะได้รับการปล่อยตัวและกลับถึงบ้านที่ กทม. ก็ล่วงเอาเวลาเกือบเที่ยงคืนของวันที่ 29 พฤษภาคม

รัฐมนตรีผู้แข็งแกร่งในปฐพี ถูกลืม!!

แต่แล้ว จู่ๆ ชื่อของ “ชัชชาติ” กลับถูกฝ่ายทหาร “คิดถึง”

โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประชุม คสช.ชุดใหญ่เพื่อติดตามความคืบหน้ามาตรการต่างๆ ของ คสช.

หลังประชุม พ.อ.วินธัย สุวารี พร้อมด้วย พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค และ พ.อ.ณัฐวัฒน์ จันทร์เจริญ ในฐานะทีมโฆษก คสช. ออกมาแถลงผลประชุม ว่ามีการพิจารณาโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยหัวหน้า คสช. ให้พิจารณาโครงการไหนดีก็ให้เริ่มก่อน เน้นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนให้การยอมรับ และผ่านการตรวจสอบผลกระทบในสิ่งแวดล้อมและทุกหน่วยงานไม่มีข้อขัดแย้ง พร้อมทำประชาพิจารณ์ในเรื่องของคนที่ได้รับผลกระทบ

พ.อ.ณัฐวัฒน์ เป็นผู้กล่าวว่า “เรื่องรถไฟฟ้าความเร็วสูงให้ไปดูข้อดีข้อเสีย ทำแล้วคุ้มหรือไม่ การใช้แหล่งเงินทุนมาจากไหน ซึ่งจะต้องไม่กระทบวินัยการคลัง การก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจจะลงทุนร่วมกับเอกชน และคาดว่าไม่น่าจะทันนำเสนอภายใน 2 สัปดาห์ แต่โครงการที่ จะสานต่ออย่างแน่นอนก็คือรถไฟทางคู่”

และ “คสช. จะเรียก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีคมนาคม มาพูดคุยเพราะเป็นคนที่มีความรู้ เพื่อจะได้ศึกษาในด้านต่างๆ”

คําแถลงดังกล่าว กลายเป็นข่าวใหญ่ทันที

เพราะต้องไม่ลืมว่า โครงการ 2 ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ

เป็นโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และวุฒิสมาชิกกลุ่ม 40 มีคำถาม และมุ่งโจมตี โดยหวังเป็นไม้เด็ดที่หวังจะล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

การที่จู่ๆ คสช. ออกมาแถลงว่า โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้าน ยังคงอยู่ในการพิจารณา

แถมยังจะเชิญ นายชัชชาติ มาพูดคุยและให้ข้อมูลอีก

จึงทำให้ดูเหมือนว่า คสช. การันตีโครงการนี้ แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ไม่ถอนรากถอนโค่นทิ้ง

ตรงกันข้าม พร้อมจะปัดฝุ่นบางโครงการมาทำอีก เช่น รถไฟทางคู่

นี่ย่อมไม่ธรรมดา!

และเพราะ ไม่ธรรมดาอย่างที่ว่านี้เอง

ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้น พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ต้องออกมาชี้แจง ว่ามีความคลาดเคลื่อนในเรื่องการสานต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง

โดยขณะนี้โครงการขนาดใหญ่ยังไม่อยู่ในกรอบหารือเร่งด่วน

ที่สื่อมวลชนนำเสนอว่า คสช. จะเชิญอดีตรัฐมนตรีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มารับฟังความคิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบรถไฟไทยนั้น ยืนยันเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

ขณะที่ พ.อ.ณัฐวัฒน์ จันทร์เจริญ ย้ำว่า ข่าวทาบทามนายชัชชาติ มาให้ข้อมูลการจัดทำโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ หรือรถไฟความเร็วสูง คลาดเคลื่อน ในช่วงนี้ ยังไม่มีนโยบายเชิญนายชัชชาติมาให้ข้อมูล การจัดทำโครงการก่อสร้างทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาหาข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบในด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง คงยังไม่มีการพิจารณาดำเนินการในช่วงนี้ เนื่องจากไม่ใช่โครงการเร่งด่วน และต้องใช้งบประมาณสูง แต่อาจมีการพิจารณาจัดทำโครงการรถไฟทางคู่ก่อน ในพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ ที่เหมาะสม

ที่สุดแล้ว กรณีนายชัชชาติ ก็มิได้เป็นความจริง อย่างน้อยในอนาคตอันใกล้นี้

กลายเป็นแค่การเติมมุขอีกหนึ่งมุข ที่ยั่วให้ยิ้ม ในยามที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก

“ชัชชาติ คิด”

“อภิสิทธิ์ ต้าน”

“ทหาร ทำ”

แม้ลึกๆ แล้วหลายคนรู้สึกเสียดายต่ออนาคตของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

เสียดายที่หากขจัดความรู้สึกเป็นฝ่ายเขา ฝ่ายเรา ออกไป

แล้วให้ทหาร “ทำ” ภายใต้ความโปร่งใส รอบคอบ และรอบด้าน

ความฝันถึงการคมนาคมอันทันสมัย ก็มีโอกาสเป็นจริงขึ้นเร็วขึ้น

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าคงได้คะแนนนิยมอีกจม เพราะถือว่าคืนความสุขให้ชาวบ้านจริงๆ