ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ที่อาศัยแห่งคาถาทั้งหลาย
คุณไมเคิล ไรท ผู้ล่วงลับ ปราชญ์ภาษาไทย ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อไทยว่า เมฆ มณีวาจา เคยยื่นแผ่นกระดาษเขียนลายมือภาษาอินเดียโบราณลักษณะคล้าย “ตัวขอม” บอกว่า
“นี่คืออักษรปัลลวะว่าเป็นต้นเค้าของอักษรไทย”
จริงด้วย เพราะรูปแบบเหมือนตัวอักษรทั้งพม่า มอญ เขมร ลาว ไทย คุณไมเคิล ไรทบอกว่า อักษรนี้กำเนิดจากอินเดียใต้ เก่าแก่ที่สุดก่อนจะมีตัวหนังสือใช้กันในประเทศพื้นถิ่นนี้
ดูแล้วคล้ายตัวอักษรในศิลาจารึก
นั่นคือความสำคัญชิ้นหนึ่งแล้ว สำคัญต่อมาคือใจความของอักษรปัลลวะนั้นอ่านว่า
เย ธัมมา เหตุปภวา
เตสังเหตุม ตถาคะโต
เตสัญจะโย นิโรโธจะ
เอวังวาที มหาสะมะโณ
แปลตามลำดับบรรทัดว่า
สิ่งใดเกิดแก่เหตุ
พระองค์ตรัสเหตุนั้น
พร้อมทั้งความดับซึ่งเหตุนั้นด้วย
พระองค์กล่าวเพียงเท่านี้
ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งอักษรและความหมายนี้นี่คือ “คาถาพระอัสสชิ” หนึ่งในพระเบญจวัคคีย์ผู้ฟังธรรมแรกของพระพุทธองค์ เป็นคำกล่าวของพระอัสสชิ
เล่าว่ามีผู้ถามพระอัสสชิเป็นใจความทำนองว่า ผู้ใดเป็นอาจารย์ท่านและอาจารย์ของท่าน มีใจความแห่งธรรมที่สอนว่าอย่างไร พระอัสสชิจึงกล่าวถ้อยคำที่เป็นดังถาคานี้ขึ้น
ซึ่งรวมไว้ซึ่งหัวใจของการปฏิบัติธรรมไว้ด้วยพร้อมสรรพโดยนัยนี้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ยกเว้นอะไรเลย ล้วนเกิดจากเหตุ หรือที่เรียกว่า มีเหตุเป็นแดนเกิดนี่แหละ สำคัญสุด ด้วยมันล้วนส่งผลขึ้นเป็นสรรพสิ่งนั้นๆ เพราะฉะนั้น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันจึงต้องรู้จักและทำความเข้าใจให้ถึงพร้อมคือทั้งเหตุและผลอันประกอบอยู่
สัจธรรมสูงสุดของพุทธศาสนาคือความ “ดับทุกข์” โดยเฉพาะคือทุกข์ที่จิต ฉะนั้น ต้นเหตุแห่งทุกข์จึงเป็นการดับทุกข์ได้แท้จริงดังธรรมในพระอริยสัจ 4 นั้น
พระองค์ผู้เป็นสมณะกล่าวไว้เพียงเท่านี้ นี่คือวรรคท้ายแห่งคาถาคือ
เอวังวาที มหาสะมะโณ
ศักดิ์สิทธิ์และเสน่ห์สำคัญของพระคาถานี้นอกจากอักษรปัลลวะต้นเค้าอักษรไทยและใจความที่เป็นดั่งหัวใจแห่งแนวทางปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาแล้ว
ทุกวรรคของพระคาถายังคงวลีแปดคำ ดังพระคาถาอันเป็นพุทธภาษิตทั้งหลายอีกด้วย เช่น
สุขาสังฆัสสะสามัคคี สุวิชาโน ภวังโหตุ กัมมุนาวัตตะตีโลโก กะวิคาถานะมาสะโย ฯลฯ
คาถาพระอัสสชิก็เช่นเดียวกัน ยกเว้นวรรคท้ายคือ เอวังวาทีมหาสะมะโณ ซึ่งอนุโลมอยู่ใน “จังหวะแปด”
จังหวะแปดนี้ดูจะเป็นหัวใจสำคัญของ “กลอนไทย” เอาเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นกลอนโบราณดังกลอนเพลงยาว กลอนนิราศ กลอนบทละคร จนถึงกลอนสุนทรภู่ ล้วนเป็นกลอน “จังหวะแปด” ด้วยกันสิ้น
จังหวะแปดไม่ได้หมายถึง วรรคละแปดคำ หากหมายถึงจังหวะทางดนตรีที่นับเอาช่วงจังหวะตกเป็นสำคัญ แต่ละช่วงจะมีจังหวะสม่ำเสมอเท่ากัน โดยแต่ละวรรคแบ่งเป็นแปดจังหวะ เท่ากับแปดคำกลอนพอดี
แต่คำกลอนอาจไม่จำเป็นต้องใช้คำแปดคำให้ครบ เช่น อาจใช้แค่เจ็ดคำ บางทีถึงเก้าคำ แค่หกคำก็มี เช่น กลอนเสภาขุนช้างขุนแผนตอนฟันม่านว่า
ห้ำหั่นฟันม่านผลาญสับ
ในทางดนตรีแล้วผู้ขับเสภาจะใช้ทำนองเอื้อนเข้าจังหวะช่วงแปดได้พอดีเสมอ
จึงเป็นข้อสังเกตว่าจังหวะของดนตรีนี้เองที่กำหนดจังหวะทั้งของพระคาถาและจังหวะกลอนให้เข้าเป็นจังหวะเดียวกันคือ “จังหวะแปด”
พิเศษอีกคือสำเนียงของคำท้ายวรรคซึ่งมีเฉพาะคำกลอนแปดเท่านั้นที่บังคับเสียงสูงต่ำท้ายวรรค ดังนี้คือ
ท้ายวรรคแรกได้ทุกเสียง
ท้ายวรรคสองห้ามสามัญ-ตรี
ท้ายวรรคสาม-สี่ ต้องสามัญ-ตรี
อ่านกลอนท่านสุนทรภู่ดูเถิด เป็นต้นแบบฉบับทั้งจังหวะแปด และเสียงท้ายวรรคที่สมบูรณ์สมควรที่ผู้สนใจจะต้องใส่ใจยิ่ง
น่าสนใจคือ ภาษาไทยมาตรฐานนั้นกำหนดเสียงไว้จำเพาะห้าเสียงเท่านั้นคือ สามัญ-เอก-โท-ตรี-จัตวา ทั้งกำหนดรูปวรรณยุกต์กำกับไว้ด้วย
ดังนั้น ทุกครั้งเมื่ออ่านกลอนให้ชาวต่างชาติฟัง เขามักชมว่าไพเราะเหมือนบทเพลงด้วยสำเนียงสูงต่ำเหลื่อมล้ำที่ลงตัวกับจังหวะบังคับด้วยสัมผัสทั้งนอกในวรรค จึงประกอบเป็นลีลาดังบทเพลงไพเราะ
เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากทุกชาติในโลก
นี่กระมังคืออัจฉริยะของภาษาไทย อันทรงไว้ซึ่งเสน่ห์สำเนียงดนตรี ภูมิกวีเป็นที่อาศัยแห่งคาถาทั้งหลายดังพระคาถาที่ว่านั้นคือ
กวิคาถานะมาสะโย •