ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
อัญเจียแขฺมร์
อภิญญา ตะวันออก
ครั้งหนึ่ง ‘ไทยหรือพม่า’
ปฏิรูปเขมรเถรวาท?
อีกครั้งที่โยมขญมวนกลับมา “เถรวาท” สมัยอินโดจีนที่ก่อตั้ง “โรงเรียนบาลี” เพื่อสอนปริยัติธรรมในพนมเปญราวทศวรรษ 1930 เพื่อปลดแอกแคว้นเขมรจากอิทธิพลของสยาม
แต่โยมขญมก็เพิ่งจะเบิกเนตรว่า ทำไมบารังอินโดจีนจึงตั้งชื่อสถาบันนี้ว่า “โรงเรียนบาลีระดับสูง”?
ว่าแต่ “โรงเรียน” นี้ มีความแตกต่างไปจากสำนักสอนเปรียญธรรมบาลีไทยอย่างไร จึงต้องใส่คำว่า “ระดับสูง” ห้อยท้ายเช่นนั้น?
หรือนี่คือปฐมบทของ “ทฤษฎีปฏิรูปเถรวาท” ฉบับกัมพูชาโดยคณะยิวบารัง และที่ใส่คำว่า “ยิว” ไว้ไม่ใช่ใดอื่น แต่เพื่อเน้นว่าไม่ใช่คาทอลิกที่ศาสนจักรตั้งแต่สมัยลาลูแบร์-อยุธยาและอินโดจีนต่างหวาดกลัวว่าจะถูกครอบงำ
แต่เมื่อไปได้แคว้นกัมพูชาเป็นอาณานิคมแล้ว ลูกหลานฉลาดไวลาลูแบร์ ยังมีความคิดที่จะแทรกแซงนักบวชเถรวาทโดยเฉพาะการเอาคณะสงฆ์เขมรออกจากสยาม และด่านแรกเลยก็คือ การทำให้กัมพูชามีสำนักศึกษาบาลีเป็นของตน
ไม่ใช่เอะอะก็ส่งไปเรียนที่สยาม ยากลำบากในการเดินทาง และสยามเองก็จำกัดจำนวนสงฆ์
นับวันจะเหมือนตาลยอดด้วน ที่ไม่มีพระเขมรเล่าเรียนธรรมชั้นสูง เป็นทรัพยากรของชาติให้ประเทศตนรุ่งเรือง
อันที่จริงกาลนั้น ศาสนจักรสำนักกลางกรุงเทพฯ ยังไม่วางระบบการศึกษาบาลีอย่างจริงจัง นอกจากบางสำนักที่เคร่งครัดก็เล่าเรียนยอมรับกัน
การที่ฝรั่งเศสดำริมาก่อตั้งสำนักบาลีธรรมเป็นระบบโรงเรียนที่เริ่มต้นในกรุงพนมเปญและต่อมาขยายสาขาไปยังพื้นที่อื่น เช่น กรุงอุดงค์ ตลอดจนมีการส่งพระสงฆ์ลาวมาเล่าเรียนที่นี่
สำหรับความเห็นของโยมขญม นี่นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของการรุกรานยึดครองอินโดจีนของตะวันตก
ฤๅเป็นความจริงอีกข้อหนึ่งว่า การส่งเสริมคณะนักบวชเถรวาททั้งในลาวและเขมรโดยสยามที่ไม่มีมาก่อนนั้น คณะศาสนจักรหรือสงฆ์ไทยก็อ่อนแอเช่นกัน เพราะเอาเข้าจริง ก็เป็นเพียงเครื่องมือของฝ่ายรัฐอำนาจ ไม่เคยมีโอกาสจะสังคายนาและปกครองตนเองอย่างเป็นเอกเทศ
และสามารถยกระดับตนเองและหมู่เหล่าเถรวาทในภูมิภาคเดียวกันอย่างแท้จริง
ชัดเจนเรื่องความไม่ปกตินี้ การที่ราชสำนักกัมพูชาสถาปนาธรรมยุต/สยามนิกายเข้าไปอีก ก็ยิ่งสร้างความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย เป็นเหตุให้มหานิกายกัมพูชาอ่อนแอ แลไม่แปลกเลยที่รัฐบาลอินโดจีนจะหาทางโค่นล้มธรรมยุติให้จงได้ นั่นก็คือ ก่อตั้ง “โรงเรียนบาลี” ของตนขึ้นมา
ไม่เท่านั้น เพื่อให้ชัดเจนว่า “ไม่ใช่” สูตรการเรียนฉบับเดียวกับสยาม จึงเติมท้ายคำว่าระดับสูงเสมือนเป็นลิขสิทธิ์ของตัวเอง นับเป็นการตลบหลังเล็กๆ ทีเดียวล่ะ!
เหมือนคำว่า “ระดับสูง” ที่อาจเป็นการ “ปักหมุด” ของเถรวาทฉบับบารัง? ตามหลักการสร้าง “แบรนด์” ใหม่ที่ย่อมจะตั้งใจให้ “ต่าง” จากสยาม?
ถ้าเช่นนั้น บาลีระดับสูงเขมรนี้มีความต่างจากหลักสูตรสยามที่ตรงไหน? ซึ่งต่างกันจากคำว่า “ใหญ่” ในที่นี้คือ grand/กร็องด์ หรือ “สูง” ในที่นี้คือ haut/โอต์?
และคำว่า haut ที่ตรงกับภาษาเขมรระดับสูง-ศาลา-บาลี-จอน่-ขปุส่ (sala-pali-chean-khpasa)
เพื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎีโยมขญมต่อสูตรการศึกษาบาลีฉบับเขมรว่า มีสารตั้งต้นมาจากทางใด? ซึ่งโยมขญมก็โยนลูกต่อไปโดยว่าถึงแม้คณะบารังจะไม่ใช้คำว่า sala-pali-thom/ศาลาบาลีทม คือไม่ใช้คำว่า grand ที่จะตรงกับคำว่า “บาลีใหญ่” อันเป็นสูตรศึกษาบาลีแบบพม่านั้น
และทำไมโยมขญมจึงลากไปถึงได้?
ก็เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนบารังปลายบูรพาทิศ ศ.หลุยส์ ฟิโนต์ คนนี้แหละผู้ออกแบบโรงเรียนบาลีระดับสูงในเขมร และก่อนจะเกิดการศึกษาระบบนี้ ฟิโนต์เองเคยเดินทางไปพม่า
เป็นไปได้ไหม นี่เป็นหนทางของนักก่อการบารังที่จะฝัง “ดีเอ็นเอ” เถรวาทใหม่ให้แก่กัมพูชา และมีเงื่อนไขว่า พึงแตกต่างไปจากไทย? และนั่นคือคำตอบว่า ทำไมจึงเป็น “บาลีใหญ่” ที่บารังชื่นชมต่อภูเมีย/พม่าและหวังจะเอามาประยุกต์ใช้ในแขมร์
ไม่เพียงจะยกระดับให้ต่างจากสยาม แต่ยังเป็นการดัดหลังบางกอกด้วย?
ทฤษฎีสมเล่นแร่แปรธาตุโรงเรียน “บาลีใหญ่” ฉบับพม่า ได้สร้างกระชุ่มกระชวยต่อจิตใจโยมขญมเป็นอย่างมาก
ว่าแต่ทำไมฉันจึงเชื่อว่าบารังไปเอาสูตรนี้มา? มีอะไรสนับสนุน? นอกจากท่านฟิโนต์ที่ปลาบปลื้มเถรวาทของพม่าตั้งแต่ที่ยังเป็นนักวิจัยและเมื่อเกษียณจากโรงเรียนบารังฯ กรุงฮานอย ฟิโนต์เดินทางผ่านภูเมียไปอินเดีย คาดว่าเขาคงเขียนจดหมายถึง ผอ.สถาบันพุทธฯ เขมรเล่าถึงภารกิจเถรวาทครั้งสุดท้ายที่นั่น
เมื่อไปถึงฝรั่งเศสแล้ว ก็คงตายตาหลับ
เพราะหลุยส์ ฟิโนต์ คือ “สารตั้งต้น” ทุกอย่างของเถรวาทกัมพูชา ขอให้เรานึกถึง “สตาร์ตอัพ” ฉบับเถรวาทในศตวรรษที่ 20 ถ้าพอจะจินตนาการ
และการที่กัมพูชามีการสังคายนาพระไตรปิฎก, สำนักพุทธศาสนบัณฑิตโดยศิษย์-ซูซานน์ คาร์เปเลส ที่ฟิโนต์ปั้นมากับมือและเธอก็มีองค์ความรู้ด้านเถรวาททั้งฐานกว้างและด้านลึกเราจึงจำเป็นต้องยกเครดิต
รวมทั้งการส่งเสริมให้พระเขมรจาริกไปเยือนพม่า-ศรีลังกา นั่นเท่ากับว่า สารตั้งต้นของคณะก่อการเถรวาทชาวบารัง อย่างไม่มายาคติ พวกเขาย่อมทราบว่า การศึกษาบาลีใหญ่ของพม่าเป็นเยี่ยงใด
หรืออย่างน้อยโดยไม่มายาคติ มีพระเถรวาทไทยได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ เช่น ที่สำนักวัดท่ามะโอ ก้าวหน้าถึงขั้นส่งพระเณรของไทยกลับไปศึกษาต้นทางที่เมียนมา จนกลายเป็นบุคลากรแถวของบาลีไทยสายเมียนมาที่เคร่งครัดตามหลักการศึกษาอันเก่าแก่ อ้างย้อนไปถึงพุทธกาล
ตามรอยการสำรวจนี้ หากตอนนั้นพม่าไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว คณะบารังเถรวาทคงส่งพระเขมรไปเล่าเรียนที่นั่น
ไม่ใช่จินตนาการเพ้อฝัน แต่มีข้อหักล้างบางอย่างที่ฉันมาพบในภายหลัง โดยเฉพาะอัตจาริกหรือจริตเถรวาทของเขมรกับพม่ามีหลายอย่างช่าง “พ้อง” กัน!
ตั้งแต่ท่านั่ง “ยงโย่” ยองๆ ในขณะอุปสมบทเป็นพระหรือบรรพชาเป็นเณร ฉันเคยเห็นภาพเก่าการบวชนอกอุโบสถของเขมรกับท่านั่งที่ว่าซึ่งแตกต่างจากสยาม
นอกจากนี้ ลักษณะกฎระเบียบของโรงเรียนระดับสูงกัมพูชาก็บังเอิญเหลือเกินที่พบว่ามีความคล้ายกับสำนักเรียนของเมียนมาในปัจจุบันอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะการกำหนดให้พระเณรเข้าเรียนในอารามเดียวกันเป็นร้อย และบางแห่งก็กึ่งพันรูป!
ส่วนเรื่องการ “ขบฉัน” นั้น ก็นับว่าแปลกที่พระเณรเมียนมาปัจจุบัน ในวัด-สำนักเรียนจะเริ่มฉันมื้อแรกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งตรงกับเขมรด้วย เพียงด้วยเหตุปัจจุบัน เมื่อไม่มีการเล่าเรียนหนังสือแล้ว การฉันข้าวต้ม “บอบอ” มื้อเช้าก่อนรุ่งสาง จึงเท่ากับเป็นการหล่อเลี้ยงจริตเดิม ซึ่งข้อนี้ต่างกันกับสงฆ์ไทย
ที่สงฆ์เขมรมักออกบิณฑบาตรตอนสายๆ ราว 10 โมงเช้า ซึ่งนั่นก็เป็นการฉันมื้อเพล และตรงกับธรรมเนียมวัดเมียนมาตามที่โยมขญมฟังมาจากพระมหาไพโรจน์ ญาณกุสโล ผู้เรียนและสอนบาลีธรรมที่เมียนมาถึง 18 ปี โดยว่า “หลังฉันอาหารมื้อแรกก่อนรุ่งสางราวหกโมงเช้าเสร็จสิ้นแล้ว จึงเริ่มเล่าเรียนหนังสือ” ซึ่งเรื่องนี้คล้ายกันกับพระเณรที่โรงเรียนบาลีระดับสูงที่วัดลังกากรุงพนมเปญ
แต่เมื่อไม่มีการศึกษาเคร่งครัดเยี่ยงอดีต การ “ขบฉัน” แลข้อวัตรเขมรในปัจจุบันจึงดูจะไม่ร่วมสมัยและกล่าวได้ว่ามีธรรมเนียมที่ต่างจากสงฆ์ไทย เว้นแต่ข้อที่ให้สอบแข่งขันบาลีที่วัดพระแก้ว
ธรรมเนียมสยามที่เขมรรับมาข้อนี้ ปัจจุบันแม้จะยกเลิกไปแล้ว แต่ก็เป็น “หลักฐาน” ชั้นดีที่ช่วยไขปริศนาการเรียนบาลีแบบไหน “ไทย-พม่า” ที่เขมร?
เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีสังคายนาเถรวาทกัมพูชาภาคต่อไป การตามหา “sala-pali-chean-khpasa” จึงยังไม่จบที่ฉันจะต้องตามหา
เช่นเดียวกับคนนอกศาสนา-คณะก่อการบารังฯ พวกเขามีความฝันที่เป็นเยี่ยงใด?