ดาวเด่น ‘พส.’ ร่วงอีกหนึ่ง ‘หลวงพี่’ จีวรหลุดเป็น ‘พี่หลวงกาโตะ’ ฤทธิ์เดช ‘สีกา’ พิฆาต/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

ดาวเด่น ‘พส.’ ร่วงอีกหนึ่ง

‘หลวงพี่’ จีวรหลุดเป็น ‘พี่หลวงกาโตะ’

ฤทธิ์เดช ‘สีกา’ พิฆาต

 

เริ่มต้นที่ประเด็นดราม่า ที่สังคมจับตาให้ความสนใจ สำหรับกรณีการแฉคลิปเสียงพระนักเทศน์ชื่อดังในภาคใต้ ลอบกินตับสีกากันบนรถ

ซึ่งตอนแรกก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา จนกระทั่งผู้ที่ถูกกล่าวหาอย่างพระนักเทศน์ชื่อดัง ที่ใช้ชื่อว่าหลวงพี่กาโตะ ก็ออกมาปฏิเสธ ยืนยันไม่รู้จักมักคุ้นกับสีกาที่กล่าวหา

แถมเสียงที่อยู่ในบทสนทนา แม้จะคล้ายจนน่าตกใจ แต่ก็น่าจะเป็นการตัดต่อเพื่อกลั่นแกล้ง ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ไม่หลบหนีพร้อมให้พิสูจน์ข้อเท็จจริง

ต่อด้วยการประกาศตัวของสีกาเจ้าของคลิป ยอมรับกุเรื่องขึ้นเพราะตัวเองเป็นไบโพลาร์ ต้องรักษาอาการอย่างใกล้ชิด จนพระหนุ่มได้ทีนำมาขยายความว่าเห็นไหมไม่มีอะไรในกอไผ่

พร้อมแสดงความใจกว้างด้วยการให้อภัยไม่ถือสา

แต่เรื่องดันไม่จบ เมื่อคลิปหลุดแล้วหลุดอีก สุดท้ายพระหนุ่มก็ตัดสินใจลาสิกขา โพสต์เฟซบุ๊กสวมเสื้อเขียว เลิกเป็นหลวงพี่กาโตะ ขอเป็นพี่หลวงกาโตะของแฟนคลับแทน

สุดท้ายก็ยอมรับในรายการดัง ว่าลักลอบเสพเมถุนกับสีกาจริง เนื่องจากยังเด็ก และถูกยั่วยวน แถมเปย์สนั่นเป็นเงินหลายแสนให้กับสีกาสาว

ปิดตำนานพระนักเทศน์ดาวเด่นที่ต้องพ้นจากผ้าเหลือง เพราะพิษ “สีกา”

กาโตะขอสึก

แฉพระดังนัดกินตับสีกา

ประเด็นครึกโครมที่เกิดขึ้น เป็นที่รับรู้ในสังคมตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2565 เมื่อมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ “พระย้อย” นำคลิปเสียงสนทนาระหว่างพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่ระบุว่าเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง และ “สีกาตอง” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญในวัด เนื้อหาระบุความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กันบนรถ

หลังข่าวอื้อฉาวออกไป พระพงศกร ปภัสสโร หรือ “หลวงพี่กาโตะ” รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ ต.กระเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ก็ออกมาชี้แจงข้อสงสัย ระบุไม่รู้จักผู้หญิงในคลิปมาก่อน เพียงทราบว่าเคยมาทำบุญที่วัดกับแม่ และถวายเพลเมื่อ 4-5 เดือนก่อน แต่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว

ส่วนเสียงผู้ชายในคลิปยอมรับว่าคล้ายตนมาก ก็ตกใจเหมือนกัน เชื่อว่าเป็นการตัดต่อกลั่นแกล้งกัน

แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นั้น เมื่อมีคลิปเสียหลุดออกมาอีก คราวนี้เป็นคลิปที่มีเนื้อหาดุเดือด มีการโจมตีจากฝ่ายหญิงว่าหน้าเงิน

ต่อมาวันที่ 28 เมษายน เหตุการณ์ก็พลิกอีก เมื่อ “สีกาตอง” ให้สัมภาษณ์สื่อช่องหนึ่ง ระบุว่ากุเรื่องทั้งหมดขึ้นเพราะเป็นไบโพลาร์ ต้องรักษาอาการตั้งแต่ธันวาคม 2564 ทำให้ทำงานไม่ได้ จึงกลับมารักษาตัวที่ จ.นครศรีธรรมราช ล่าสุดรักษาหายแล้ว กลับไปทำงานปกติ ขอโทษที่ทำให้ทุกฝ่ายเสื่อมเสีย จากนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์อีก เพราะทุกอย่างได้พูดไปหมดแล้ว

และทันใดนั้นหลวงพี่กาโตะก็ชี้แจงท่ามกลางแฟนคลับและญาติโยม ที่เข้าให้กำลังใจที่วัด ระบุอยากให้เรื่องนี้ยุติให้ไวเพราะเสื่อมเสียต่อพุทธศาสนา เมื่อหญิงสาวคนดังกล่าวยอมรับ ก็พร้อมให้อภัย และคงไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีอะไรอีก ต่อจากนี้จะตั้งใจศึกษาพระธรรมและพัฒนาวัดต่อไป

พร้อมระบุอีกว่าพระผู้ใหญ่ในวัดที่ทราบเรื่องก็ให้กำลังใจ และขอยุติบทบาททุกอย่าง ให้เป็นเรื่องของกรรมการสอบสวน พร้อมทิ้งท้ายด้วยคำคม

“ทุกคนไม่ควรเคร่งเครียดกับปัญหาทุกอย่าง ตนเองแม้จะเจอเรื่องร้ายแรงแต่ก็ไม่เครียด ควรจะต้องแกร่งและชัดเจนเด็ดเดี่ยวในการเผชิญกับปัญหา”

แม้จะพูดจาหนักแน่น แต่แล้วเมื่อเวลา 21.34 น.วันที่ 30 เมษายน พระพงศกร หรือหลวงพี่กาโตะ ก็เข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ ทั้งเจ้าคณะภาค 16 เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าคณะอำเภอฉวาง เพื่อขอลาสิกขาจากความเป็นพระ

เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊ก ประกาศใช้ชื่อพี่หลวงกาโตะ สร้างคอนเทนต์ต่อไป

สีกาตองออกรายการ

ชิงสึก-อ้างถูกยั่ว-เย้า-ยวน

ขณะที่เรื่องราวความเป็นมาได้ถูกเปิดเผยในรายการ “โหนกระแส” เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม โดย “สีกาตอง” ระบุว่า ตนเองอายุ 37 ปี รู้จักกับพระกาโตะในวันที่ 31 มกราคม 2565 เพราะมาถวายเพล จากนั้นก็ถามพระว่าหากจะมาถวายเพลอีกจะติดต่ออย่างไร ท่านก็ให้เบอร์โทรศัพท์ บอกถ้าเมมชื่อแล้วก็จะขึ้นเป็นไอดีไลน์ จากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา มีการทักทายพูดคุย ซึ่งทำให้รู้สึกดีด้วย เพราะตนก็กลับมาบ้านเพื่อรักษาจิตใจ

ส่วนสาเหตุที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ในรถ หลวงพี่ก็ทักไลน์มาบอกว่าเมื่อยเอว มาจากนั่งเทศน์เวลานาน ตนก็บอกว่าให้ใช้ยาหม่องทา แล้วถามว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะนวดให้ได้ไหม พระบอกนวดได้เพราะอยู่ที่เจตนา ท่านก็นัดเจอกันแถววัดประมาณเกือบ 22.00 น. ก็ขับรถไปเจอ จากนั้นท่านก็ให้ไปสันเขื่อนกะทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช แล้วก็นวดกัน จากนั้นก็เลยเถิด

มาถึงความสัมพันธ์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นบนรถอีก คราวนี้มารับที่จุดเดิม แต่ไปมีอะไรกันที่ข้างวัด และไม่มีครั้งที่ 3 โดยพระหนุ่มทำทีเหมือนจะตีตัวออกห่าง ตนก็เกิดความรู้สึกว่าจะถูกทิ้ง แถมคิดมากว่าทำสิ่งที่ผิดลงไป จึงไปปรึกษาหมอปลา นายจีรพันธ์ เพชรขาว เพื่อหารือ หมอปลาก็บอกว่าเรื่องอย่างนี้ต้องมีหลักฐาน จึงเป็นเหตุให้มีการอัดคลิปเสียงการสนทนา

ต่อมาก็เกิดใจร้อน จึงนำคลิปไปมอบให้พระย้อย พระลูกวัดวัดเดียวกับพระกาโตะ ก็เลยมีการเปิดเผยขึ้นมา

พร้อมระบุอีกว่า ที่ผ่านมามีพระผู้ใหญ่โทรศัพท์มาเพื่อขอให้ยุติ และมีการเสนอเงิน 3 แสนบาทให้เพื่อยุติเรื่องนี้ มีการนัดหมายให้เงินกันที่ลานจอดรถเซียร์ รังสิต หลังจากรับเงินแล้วก็เลยยอมรับว่ากุเรื่อง แต่แล้วความรู้สึกผิดต่อศาสนาก็มีขึ้นจึงต้องออกมาเปิดเผยความจริง

ระบุไม่ได้แบล็กเมล์ แต่เรื่องขอเงินนั้นเป็นเรื่องจริง ก็เหมือนสามีภรรยาที่ช่วยเหลือกันเท่านั้น

ด้านนายพงศกร หรืออดีตพระกาโตะ ก็โทรศัพท์เข้ามาในรายการ พร้อมยอมรับว่าเรื่องสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ “สีกาตอง” นั้นเป็นเรื่องจริง มีการกระทำกันที่บนสันเขื่อน จริง แต่เกิดจากความผิดพลาด เพราะด้วยหนึ่งอายุเรายังน้อย ด้วยผู้หญิง ขอพูดตรงๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มันยั่ว มันเย้า มันยวนเรา และอยากพูดว่า ตั้งแต่รอบแรกมาก็โดนบังคับขู่เอาเงินตลอด เขาบอกว่าหลวงพี่ฉันมีหนี้นะ เราพลาดกันแล้วต้องรับผิดชอบ

จริงๆ ตั้งใจจะสึกปลายปีหลังจากทำวัดเสร็จ ไม่คิดจะอยู่ต่อหรือมีตำแหน่งแห่งหน จึงปฏิเสธเรื่อยมา แต่ตอนนี้ยอมรับว่าผิดพลาดไปแล้ว แต่ก็ขอให้มองด้วยว่าตนก็เป็นคนที่ถูกกระทำคนหนึ่ง เพราะหลังจากนั้นก็ถูกรีดเงินไปนับไม่ถ้วน แถมต้องจ่ายให้นักข่าวอีก 3 แสนเพื่อยุติเรื่องด้วย

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเป็นเงินที่ได้จากการติดกัณฑ์เทศน์ ไม่ใช่เงินวัด ตอนนี้ตนสึกออกมามีเงินเหลืออยู่เพียง 4 พันบาท

นักข่าวแจ้งความ

อ้างทั้งหมดเพราะถูก “สีกา” ยั่วยวน!??

จี้สอบต่อปาราชิก-การเงิน

อย่างไรก็ตาม ความต้องการยุติเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากแม้พระกาโตะจะลาสิกขาไปแล้ว แต่ข้อเรียกร้องให้ตรวจสอบอาบัติปาราชิก ก็ยังคงอยู่ เนื่องจากหากต้องอาบัติปาราชิกนั้น ก็ไม่สามารถบวชใหม่ได้

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเรื่องเงินที่เอาไปให้สีกา และสื่ออีกฝ่ายละ 3 แสนบาท รวม 6 แสนบาท ที่มีข่าวว่าช่วง 2 วันก่อนที่อดีตพระกาโตะจะลาสิกขา มาขอเบิกเงินจากวัดเพ็ญญาติ 600,000 บาท โดยการเบิกเงินของวัดแต่ละครั้งจะมีคณะกรรมการทั้งหมด 3 คน และจะต้องมีการเซ็น 2 ใน 3

ซึ่งอดีตพระกาโตะอ้างว่าจะเอาเงิน 600,000 บาทไปปรับปรุงอาสนะของวัด จึงเบิกให้ไป เพิ่งมารู้ข่าวหลังเบิกเงินให้ไปว่าพระกาโตะสึกแล้ว และนำเงินจำนวนดังกล่าวไปให้สีกา

ทั้งนี้ อดีตพระกาโตะก็ยอมรับว่าเอาไปจริง และอ้างว่าจะนำเงินคืนวัดให้เร็วที่สุด

แต่ไม่รู้จะรอดคดีอาญาหรือไม่

ด้านพระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ระบุว่า พฤติกรรมพระแบบนี้เปรียบเสมือนตาลยอดด้วน ไม่มีโอกาสได้แทงยอดออกใบอีกต่อไป เหมือนกับพระรูปนี้ ดังนั้น แม้ว่าจะตัดสินใจลาสึกออกไปแล้ว การสอบสวนยังต้องดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะเรื่องเส้นทางการเงินว่ามีการใช้เงินของวัดไปโอนให้กับใครบ้าง โอนเพื่ออะไร โอนไปทำไม

เชื่อว่าการที่อดีตพระกาโตะตัดสินใจสึกกะทันหัน โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความจริงตามข้อครหา เป็นเพราะถูกกดดันหรือมีคนแนะนำมาให้สึก เพื่อเอาตัวรอดไปก่อน

ส่วนเรื่องที่สีกาตองบอกว่ามีพระผู้ใหญ่สอนให้พูดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาป่วยเป็นโรคทางประสาทนั้น ถ้ามีพระผู้ใหญ่ไปแนะนำให้พูดจาบิดเบือนแบบนั้นจริง สอนให้คนโกหก อันนี้แสดงว่าตัวเองต้องมีความผิดด้วยและแอบปกปิดอะไรเอาไว้ แค่การพูดโกหกก็ผิดศีลใน 5 ข้อแล้ว

การสอนให้คนโกหกไม่มีอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย นอกจากพวกเนื้องอกหรือสาวกเทียมเท่านั้น สถานการณ์ในตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพระย้อยที่ไปฉายเดี่ยวในเรื่องนี้ สุ่มเสี่ยงทำผิดวินัยสงฆ์ไปเสียเอง คือเป็นพระแล้วไปกล่าวหาพระด้วยกันเอง มีความผิดต้องสังฆาทิเสสแต่ไม่ถึงขั้นปาราชิก ต้องไปอยู่กรรมชดใช้

เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนต่อและหวังคงจะไม่มีมวยล้ม

เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนต่อไป